View Full Version : สายเก่งของทหาร
สงสัยครับ ว่า "สายเก่ง" คืออะไร ใช้งานยังไง
ฝรั่งเรียกว่าอะไร ถึงมาเป็น สายเก่งได้ :confused:
ได้ยินมานานแล้ว "สายเก่ง" นึกว่าเขาพูดล้อกันเล่นๆ
เป็นสายโยงติดกับเข็มขัดสนาม ช่วยผ่อนน้ำหนักที่เอว
สายด้านหน้าติดซองแมกกาซีนได้
สมัยหนุ่มๆ เคยใช้ เห็นแต่คนอื่นเรียกสายเก่ง
ผมเรียกสายโยง
นึกว่าเขาเรียกล้อพวกที่ชอบติดอุปกรณ์เยอะๆ
มีด ไฟฉาย แมกกาซีน ระเบิดขว้าง
มันก็ใช้สะดวกดี ..แต่เรียกสายเก่ง ฟังดูประชดประชัน ไงไม่รู้ :p
http://www.alleghenyoutlet.com/alleghenyoutletpics/suspenders/ysuswusmcbucklebeltgallery.jpg
https://www.google.co.th/search?hl=th&tok=dE8cL4VYIOQx2CQAHycLLA&cp=4&gs_id=1r&xhr=t&q=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87&safe=off&bav=on.2,or.r_gc.r_pw.r_cp.r_qf.&bpcl=38093640&biw=994&bih=612&um=1&ie=UTF-8&tbm=isch&source=og&sa=N&tab=wi&ei=cOagUIS3Ho_yrQfIuYGICA
ไม่ได้ค้นคำว่า สายโยง ครับลุง
ฝรั่งเรียก Military Harness . . . Army Tactical Suspender
ราวๆ นั้น . . .
แต่ก่อนเห็น รด.ปีห้า ไม่ก้อปีสาม แต่เป็นพวกที่ชอบ "โชว์พาว" เขามีกัน . . . เท่หลายๆ
:p :D :p
ได้ยินมานานแล้ว "สายเก่ง" นึกว่าเขาพูดล้อกันเล่นๆ
เป็นสายโยงติดกับเข็มขัดสนาม ช่วยผ่อนน้ำหนักที่เอว
สายด้านหน้าติดซองแมกกาซีนได้
สมัยหนุ่มๆ เคยใช้ เห็นแต่คนอื่นเรียกสายเก่ง
ผมเรียกสายโยง
นึกว่าเขาเรียกล้อพวกที่ชอบติดอุปกรณ์เยอะๆ
มีด ไฟฉาย แมกกาซีน ระเบิดขว้าง
มันก็ใช้สะดวกดี ..แต่เรียกสายเก่ง ฟังดูประชดประชัน ไงไม่รู้ :p
http://www.alleghenyoutlet.com/alleghenyoutletpics/suspenders/ysuswusmcbucklebeltgallery.jpg
+๑ ครับพี่หมวดแม็ค
ผมก็เรียกสายโยงบ่า
เพราะเคยอ่านระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่๒๒
มีกล่าวถึง เข็มขัดชนิดมีสายโยงบ่า อยู่ด้วย พอให้เทียบคำกันได้
แต่คำว่าสายโยงบ่าในระเบียบดังกล่าว จะหมายถึงสายหนังที่โยงเฉียงจากบ่าขวาไปที่เอวด้านซ้าย
และติดอยู่กับเข็มขัดหนังขนาดกว้าง (กว่าปกติ เมื่อเทียบกับชนิดที่ใช้ร้อยหูกางเกงกันทุกวันนี้)
ที่เข็มขัดดังกล่าวจะมีห่วงซึ่งใช้ประกอบซองกระบี่ (ซองกระบี่เป็นหนังเอาไว้สำหรับสอดฝักกระบี่อีกทีหนึ่งนะครับ)
http://phanpatrol.files.wordpress.com/2009/08/oldpolice_-2-82551_22.jpg?w=600
http://phanpatrol.files.wordpress.com/2009/08/oldpolice_-2-82551_24.jpg?w=600
http://phanpatrol.files.wordpress.com/2009/08/oldpolice_-2-82551_11.jpg?w=600
ที่มาจากhttp://phanpatrol.wordpress.com/2009/08/02/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88/
เข็มขัดชนิดมีสายโยงบ่านี้สมัยก่อนใช้ประกอบเครื่องแบบปกติคอแบะสีกากี ใช้ในโอกาสรายงานตัวเข้ารับตำแหน่งใหม่
ต่อมาภายหลังได้แก้ไขระเบียบว่า ในการรายงานตัวฯ ไม่ต้องใช้เข็มขัดสายโยง
แต่ถ้าตีความแบบศรีธนนท์ชัยอย่างที่ผมชอบทำ ผมก็จะบอกว่า
เข็มขัดสายโยงเขาให้เลิกใช้ แต่ไม่ได้ยกเลิกครับพี่
ที่กล่าวมานี้สำหรับสายโยงบ่าของตำรวจสัญญาบัตรนะครับ
ที่กล่าวมาอาจไม่ตรงกับหัวข้อกระทู้ "สายเก่งของทหาร" เพราะทางสายทหารผมไม่มีข้อมูลยืนยันได้แม่นยำนัก
แต่ก็น่าจะเทียบเคียงกันได้ และใช้กันหลายเหล่าทัพมีหลักฐานทั้ง ทบ. และ ทอ.
สำหรับสายโยงบ่าสองเส้นที่มีลักษณะคล้ายสายโยงบ่าทุกวันนี้
เป็นเครื่องแบบสนามที่เราใช้กันมานานแล้วครับ เพียงแต่สมัยก่อนทำด้วยหนัง
แต่ผมไม่คุ้นกับรายละเอียดของมัน เพราะน่าจะเลิกใช้ไปนานก่อนตำราเล่มที่ผมใช้พิมพ์ออกมา
ตัวอย่างสายโยงบ่าของ ทอ. ครับ
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267848344.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267847696.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267847714.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267848388.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267847779.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267847800.jpg
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1267351457.jpg
ที่มาจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=klongrongmoo&group=4&month=03-2010&date=07
ที่พิเศษคือ ของ ทบ.
ในภาพถ่ายเก่า ผมเห็นภาพนายทหาร "กองทหารบกรถยนต์" ซึ่งไปในงานพระราชสงคราม ทวีปยุโรป
ใช้สายโยงที่เป็นหนังทั้งเส้นเดียวและสองเส้นประกอบเครื่องสนาม
http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo/picture/1283597228.jpg
http://www.bloggang.com/data/k/klongrongmoo/picture/1283597254.jpg
http://statics.atcloud.com/files/entries/5/51467/images/1_display.jpg
สำหรับท่านอื่นที่สงสัยถึงที่มา
ผมเดาตามลักษณะ นัยว่าแนวคิดสายโยงนี้มีมาแต่โบราณ
เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่คาดกระบี่ติดเข็มขัด เพราะสายโยงบ่านี้จะช่วยกระจายน้ำหนักกระบี่
ที่ถ่วงเอวด้านซ้าย ไม่ให้เป็นภาระของเข็มขัดที่เอวแต่ถ่ายเดียว
หรือในกรณีที่ไม่ได้มีแต่กระบี่ที่ติดเข็มขัด คือหากมีทั้งซองปืนซองบรรจุแหนบกระสุน อุปกรณ์ ฯลฯ
สายโยงบ่าจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่บ่าเดียวเหมือนการคาดกระบี่
แต่จะมีสายโยงทั้งสองบ่าก็ได้ ทั้งนี้โดยหลักการกระจายน้ำหนักเช่นเดียวกัน
อีกอย่างที่น่าจะใกล้เคียง หรืออาจอยู่ในตระกูลเดียวกัน คือสายโยงกางเกงครับ
กางเกงบางแบบไม่ต้องร้อยเข็มขัด แต่จะมีกระดุมหรือรังดุมให้ติดสายโยงแทนก็มี
ลองดูกางเกงทหารที่ตัดเย็บแบบเมืองนอกบางแบบก็ยังทำอยู่ครับ
กระทุ้งฟ้า
15-11-12, 11:34 AM
สายเก่งเป็นภาษาปาก ไม่ใช่คำทางการ
คำอย่างเป็นทางการคือสายโยงบ่า
สายเก่ง เคยถามว่าทำไมเรียกสายเก่ง
ทหารบอก ใส่แล้วแบกของเก่ง แบกได้เยอะขึ้น :D
jirayur
15-11-12, 11:16 PM
หรือแปลจากคำว่า Smart :)
Smart TV = ทีวีเก่ง:confused:
สายเก่งเป็นภาษาปาก ไม่ใช่คำทางการ
คำอย่างเป็นทางการคือสายโยงบ่า
สายเก่ง เคยถามว่าทำไมเรียกสายเก่ง
ทหารบอก ใส่แล้วแบกของเก่ง แบกได้เยอะขึ้น :D
จะแขวนจะห้อยอุปกรณ์ได้มากขึ้น
หรือว่านายเก่งเป็นคนริเริ่มนำมาใช้ :confused:
uncle jessy
16-11-12, 10:14 AM
ฝรั่งเรียก Military Harness . . . Army Tactical Suspender
ราวๆ นั้น . . .
แต่ก่อนเห็น รด.ปีห้า ไม่ก้อปีสาม แต่เป็นพวกที่ชอบ "โชว์พาว" เขามีกัน . . . เท่หลายๆ
:p :D :p
ใช่ครับพี่ เอามือลากสายมาเข่าเข้าพุงได้เลยผมลองแล้ว5555
ใช่ครับพี่ เอามือลากสายมาเข่าเข้าพุงได้เลยผมลองแล้ว5555
พี่พระรามไง รด.ปีห้า เชิญลุงเจส เข่าพุงได้ตามสบาย ฮะๆๆ :rolleyes::D:D:D
ขอบคุณ คุณน้าแวบมา
ทำให้ผมได้รู้อะไรอีกหลายเรื่อง
เห็นรูปเก่าๆ แล้วรู้สึกแปลกตาทุกที
อย่างรูปนี้..เดาว่าคุณตาท่านนี้คงเป็นสายตรวจท้องที่
รุงรัง ดีเหลือเกิน ..ท่าแบกปืน ท่านี้ไม่มีสอนในโรงเรียน
แต่ ถ้าได้เดินตามควายหายสัก 2 วัน.. รับรองทุกคนทำเป็น
https://ohrgaw.bay.livefilestore.com/y1maxhmMjjtuXkWwohAFsHW7HMcTeM7imfSXw9ggWbanszAio2akF3oJ_-kQJkcVRZHuA4jAUF975KkMXAFLAqx4akJXhr-sW3M_7oHTnQDIMkbHmtIv9aZ7N6u-Yz8NWJ7m2Dx0uTewk7lNrCHOmypyA/oldpolice_-2-82551_7.jpg
สำอางค์ไม่เบานะเนี่ยะ
...จากรูป มือขวาน่าจะกาน้ำชา บ่าขวาคงจะเป็นถุงข้าวสารหรือข้าวตาก
เอวมีซองแหนบกระสุน ดาบปลายปืน
...หัวเข็มขัดรุ่นนี้ผมทันได้ใช้อยู่ 5-6 ปี
...สงสัยก็แต่ปืน สัดส่วน รูปร่าง คล้ายจะเป็นคาร์บิน
แต่เทียบยุคสมัยแล้วไม่น่าใช่ ..เอ่ หรือว่าใช่
ผมทันได้ใช้ปืนรุ่นนี้ด้วยนะ แต่ผมยังไม่เก่าขนาดนั้นนี่
:eek:
ขอบคุณ คุณน้าแวบมา
ทำให้ผมได้รู้อะไรอีกหลายเรื่อง
เห็นรูปเก่าๆ แล้วรู้สึกแปลกตาทุกที
อย่างรูปนี้..เดาว่าคุณตาท่านนี้คงเป็นสายตรวจท้องที่
รุงรัง ดีเหลือเกิน ..ท่าแบกปืน ท่านี้ไม่มีสอนในโรงเรียน
แต่ ถ้าได้เดินตามควายหายสัก 2 วัน.. รับรองทุกคนทำเป็น
https://ohrgaw.bay.livefilestore.com/y1maxhmMjjtuXkWwohAFsHW7HMcTeM7imfSXw9ggWbanszAio2akF3oJ_-kQJkcVRZHuA4jAUF975KkMXAFLAqx4akJXhr-sW3M_7oHTnQDIMkbHmtIv9aZ7N6u-Yz8NWJ7m2Dx0uTewk7lNrCHOmypyA/oldpolice_-2-82551_7.jpg
สำอางค์ไม่เบานะเนี่ยะ
...จากรูป มือขวาน่าจะกาน้ำชา บ่าขวาคงจะเป็นถุงข้าวสารหรือข้าวตาก
เอวมีซองแหนบกระสุน ดาบปลายปืน
...หัวเข็มขัดรุ่นนี้ผมทันได้ใช้อยู่ 5-6 ปี
...สงสัยก็แต่ปืน สัดส่วน รูปร่าง คล้ายจะเป็นคาร์บิน
แต่เทียบยุคสมัยแล้วไม่น่าใช่ ..เอ่ หรือว่าใช่
ผมทันได้ใช้ปืนรุ่นนี้ด้วยนะ แต่ผมยังไม่เก่าขนาดนั้นนี่
:eek:
พี่บรรยายตกหล่นเรื่องห่อผ้าขะม้าหรือเปล่าครับ
สำหรับปืน เป็นคาร์บินถูกแล้วครับ
แต่ไม่ใช่ .๓๐ เอ็มวัน คาร์บิน
หรือ"ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 (ปสบ.87)"อย่างที่พี่เคยใช้
เพราะเดาว่าน่าจะเป็นภาพสมัยประมาณ ร.๖ หรือปลาย ร.๕
ตอนนั้นปืน .๓๐ คาร์บิน ยังไม่เป็นวุ้นเลยครับพี่
และถ้าเป็นปืน .๓๐ เอ็มวัน คาร์บินคุณตาคงไม่แบกท่านี้
เพราะว่าน่าจะเจ็บต้นคอ นอกจากจะถอดซองกระสุนออกก่อนครับ
แต่จะเป็นปืนคาร์บินรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรผมก็จนปัญญา
เพราะว่าในภาพไม่เห็นชุดลั่นไก คันรั้งลูกเลื่อน หรือกระโหลกปืนพอให้เดาได้เลยครับ
ปล. สำหรับท่านอื่นที่ไม่เข้าใจว่าผมเล่นคำหรือไร
ขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติมว่า คำว่าปืนคาร์บิน หรือปืนคาร์ไบน์ หมายถึงปืนประเภทไรเฟิลชนิดลำกล้องสั้น
สมัยก่อนเขาออกแบบมาให้กระทัดรัดสำหรับทหารที่ต้องขี่ม้า หรือขับขี่ยานพาหนะใช้สะดวกไม่เกะกะ
ส่วน .๓๐ เอ็มวัน คาร์ไบน์(คาร์บิน) เป็นปืนชนิดคาร์บิน ที่ใช้กระสุนขนาด .๓๐ ประจำการในกองทัพสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/b9/WWII_M1_Carbine.jpg/640px-WWII_M1_Carbine.jpg
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยเราได้รับปืน เอ็มวัน คาร์บิน นี้จากสหรัฐมาไว้ประจำการจำนวนหนึ่ง
ใช้นามเรียกขานกันว่า "ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ ๘๗ (ปสบ.๘๗)"
ดังนั้น
ตามหลักตรรกศาสตร์จึงอาจกล่าวได้ว่า
ปืน .๓๐ เอ็มวัน คาร์บิน เป็นปืนชนิด "คาร์บิน"
แต่คำว่า "ปืนคาร์บิน" อาจไม่ได้หมายถึงปืน ปสบ.๘๗ ครับ
"ห่อผ้าขะม้า" เปล่าลืมครับ..คงจะเป็นห่อเสบียง
รอให้ผู้มีประสบการมาบรรยาย :D
...ดู ดู อีกที เตรียมความพร้อมซะขนาดนี้
จะไปตรวจท้องที่ ..หรือหนีตามสาว :p
...ไอ้เรื่องเสบียงติดตัวนี่ก็มีเรื่องให้พูดนะ
เห็น เรชั่น ของทหารอเมกันแล้วอิจฉา
สมัยผมเรียน รด. เค้าเรียกกันว่า ปลยบ.87กับ 88 คือมันเป็นปืนเล็กยาว ไม่ใช่ปืนสั้นอ่ะครับ ไม่ทราบว่ามันรุ่นเดียวกับเปล่า:D
...ไอ้เรื่องเสบียงติดตัวนี่ก็มีเรื่องให้พูดนะ
เห็น เรชั่น ของทหารอเมกันแล้วอิจฉา
คำนี้เขาใช้กันสมัยเขียนเพชรพระอุมาครับลุง
C(Combat)- ration น่าจะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือก่อนนั้น
http://en.wikipedia.org/wiki/C-ration
The C-Ration, or Type C ration, was an individual canned, pre-cooked, or prepared wet ration intended to be issued to U.S. military land forces when fresh food (A-ration) or packaged unprepared food (B-Ration) prepared in mess halls or field kitchens was impractical or not available, and when a survival ration (K-ration or D-ration) was insufficient. Development began in 1938 with the first rations being field tested in 1940 and wide-scale adoption following soon after. Following World War II, cost concerns later caused the C-ration to be standardized for field issue regardless of environmental suitability or weight limitations.
The C ration was replaced in 1958 with the Meal Combat Individual (MCI).[1] Although officially a new ration, the MCI was derived from and very similar to the original C ration, and in fact continued to be called "C rations" by American troops throughout its production life as a combat ration (1958–1980).[1] Although the replacement for the MCI, the MRE, was formally adopted as the Department of Defense combat ration in 1975, the first large-scale production test did not occur until in 1978 with the first MRE I rations packed and delivered in 1981.[2][3] While the MRE officially replaced the MCI in 1981, previously packed MCI rations continued to be issued until depleted.[1]
ตอนนี้เขาใช้ MRE แทนแล้ว หาซื้อได้ไม่ยาก
เขาบอกว่าราคาที่กองทัพเมกันซื้อมา คือห่อละ 7 เหรียญกว่าๆ
ดังนั้นถ้าเราซื้อได้ไม่ถึง 200 ถือว่าราคาดี
http://www.fas.org/man/dod-101/sys/land/mre.jpg
แต่ละห่อ ให้พลังงานราว 1200 แคลอรี่ ถ้ากินหมด น่าจะอิ่มไปครึ่งวัน :2TU:
ส่วนรสชาติ....ฝรั่งมันเรียกว่า น่าจะ Meal Ready for Ethiopia มากกว่า Meal Ready to Eat :rolleyes:
สมัยผมเรียน รด. เค้าเรียกกันว่า ปลยบ.87กับ 88 คือมันเป็นปืนเล็กยาว ไม่ใช่ปืนสั้นอ่ะครับ ไม่ทราบว่ามันรุ่นเดียวกับเปล่า:D
ปืนคาร์บิน มีชื่อทางราชการไทยว่า ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 ชื่อย่อคือ ปสบ.87
(เรียกปืนสั้น แต่ความจริงมันเป็นปืนยาวขนาดสั้น)
ปืน M.1 Garland มีชื่อทางราชการไทยว่า ปืนเล็กยาวบรรจุเอง แบบ 88 ชื่อย่อ ปลยบ.88
(เล็กซะที่ไหน ทั้งหนักทั้งยาว)
สมัยพี่ลิบร้าฝึก รด. คงได้ใช้ทั้ง 2 กระบอก
เป็นระบบบริหารลูกเลื่อนด้วยแก๊ส ปลยบ.88 ยิ่งร้อนยิ่งถีบหนัก
M.1 พัฒนาต่อมาเป็น M.14 ยิงกลได้ ถีบหนักมาก
CARBINE พัฒนาต่อเป็น CARBINE M.2 ยิงกลได้ อันนี้นิ่มนวล
คำนี้เขาใช้กันสมัยเขียนเพชรพระอุมาครับลุง
C(Combat)- ration น่าจะสมัยสงครามเวียตนาม หรือก่อนนั้น
http://en.wikipedia.org/wiki/C-ration
:p แม๋ ก็อิจฉามาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียก "เรชั่น" นั่นแหละ
ยิ่งมาเห็น MRE เดี๋ยวนี้ ยิ่งไปกันใหญ่มีทั้งเครื่องดื่ม
ขนม ซ๊อสปรุงรส กระทั่งกระดาษเช็ดปาก ไฟก็ไม่ต้องก่อ
แค่เทน้ำใส่ก็ได้น้ำร้อนจัดอุ่นอาหาร ..สะดวกซะขนาดนั้น
ถ้าทหารฝรั่งยังบ่นอีก ...ต้องให้มาลอง MRE แบบไทยๆ
ก้อนข้าวเหนียวจากมื้อเย็นเมื่อวาน ในกระเป๋าเสื้อ
มีเศษด้าย ละอองฝุ่น ติดนิดหน่อย ..บางมื้อที่ไม่เจอบ้านคน
มันก็มีแค่นี้จริงๆ
ปล. นึกๆ แล้ว ..ที่ผ่านมา มันจะลำบากเกินไปมั๊ยเนี่ยะ..ชีวิตผม
ปืนคาร์บิน มีชื่อทางราชการไทยว่า ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 ชื่อย่อคือ ปสบ.87
(เรียกปืนสั้น แต่ความจริงมันเป็นปืนยาวขนาดสั้น)
ปืน M.1 Garland มีชื่อทางราชการไทยว่า ปืนเล็กยาวบรรจุเอง แบบ 88 ชื่อย่อ ปลยบ.88
(เล็กซะที่ไหน ทั้งหนักทั้งยาว)
สมัยพี่ลิบร้าฝึก รด. คงได้ใช้ทั้ง 2 กระบอก
เป็นระบบบริหารลูกเลื่อนด้วยแก๊ส ปลยบ.88 ยิ่งร้อนยิ่งถีบหนัก
M.1 พัฒนาต่อมาเป็น M.14 ยิงกลได้ ถีบหนักมาก
CARBINE พัฒนาต่อเป็น CARBINE M.2 ยิงกลได้ อันนี้นิ่มนวล
ขออนุญาตเสริมอีกนิดครับ
นอกจาก ปสบ.๘๗ (เอ็มวัน คาร์ไบน์ หรือคาร์บิน)
และ ปลยบ.๘๘ (เอ็มวัน การานด์ และขออนุญาตแก้ไขให้พี่แม็คว่า "สะกดด้วยตัวอักษร อาร์ ไม่ใช่ แอล")
อาวุธเบา ประทับไหล่ ประเภทปืนเล็กยาว (คือไม่นับปืนกลมือ อย่าง ปกม.เอ็ม๓) ที่เรารับการสนับสนุนจากอเมริกาในช่วงนั้นยังมีอีกแบบหนึ่ง
นั่นคือ ปลย.๘๘ (สปริงฟิลด์ เอ็ม ๑๙๐๓) ซึ่งเมื่อคุณ Libra ได้ฟังแล้ว ก็อย่าได้สับสนปนกันกับ ปลยบ.๘๘ อีกนะครับ :)
:p แม๋ ก็อิจฉามาตั้งแต่สมัยที่ยังเรียก "เรชั่น" นั่นแหละ
ยิ่งมาเห็น MRE เดี๋ยวนี้ ยิ่งไปกันใหญ่มีทั้งเครื่องดื่ม
ขนม ซ๊อสปรุงรส กระทั่งกระดาษเช็ดปาก ไฟก็ไม่ต้องก่อ
แค่เทน้ำใส่ก็ได้น้ำร้อนจัดอุ่นอาหาร ..สะดวกซะขนาดนั้น
ถ้าทหารฝรั่งยังบ่นอีก ...ต้องให้มาลอง MRE แบบไทยๆ
ก้อนข้าวเหนียวจากมื้อเย็นเมื่อวาน ในกระเป๋าเสื้อ
มีเศษด้าย ละอองฝุ่น ติดนิดหน่อย ..บางมื้อที่ไม่เจอบ้านคน
มันก็มีแค่นี้จริงๆ
ปล. นึกๆ แล้ว ..ที่ผ่านมา มันจะลำบากเกินไปมั๊ยเนี่ยะ..ชีวิตผม
เรชั่นแบบไทยๆ
ผมนึกถึงคอร์นบีฟกระป๋อง (เนื้อเค็มแบบฝอยๆ) ของอสร.อยู่เสมอ
แต่ก่อนไปเที่ยวหลายคน ก็ต้องหาซื้อกระป๋องใหญ่ พกแบบนั้น ผัดกับไข่ น่าจะบ่อยที่สุด
คอร์นพอร์คก็มี
(ที่เรียกว่า corned ไม่ใช่ข้าวโพด แต่หมายถึงเกลือเม็ดโตที่ใช้คลุกเนื้อสมัยก่อน)
แบบกระป๋องหาซื้อไม่ได้แล้ว ตั้งแต่แปรรูป อสร.เป็นบริษัทไป
เห็นในเว็บเขามีสินค้าอย่างเดียวคือ น้ำส้มสายชู
พวกแกงเขียวหวานเนื้อ พะแนงหมู ก็หาไม่เจอเลย
มีแต่ใครๆก็ทำปลาซาร์ดีน ปลาทูน่าสารพัดเมนู
เจ้าที่ทำส่งอสร.มาบรรจุซองขายเป็นซองๆยี่ห้อ ควิกเชฟ
หาได้ทั่วไป
นานๆที่มีคนเอาเนื้อวัวกระป๋องแบบนี้มาขาย
http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2009/01/D7407333/D7407333-75.jpg
ขอยกเรื่องอาหาร เสบียงกรัง ไปขึ้นกระทู้ใหม่ครับ
คุยกันได้อีกยาว :cool:
ขอบคุณ คุณน้าแวบมา
ทำให้ผมได้รู้อะไรอีกหลายเรื่อง
เห็นรูปเก่าๆ แล้วรู้สึกแปลกตาทุกที
อย่างรูปนี้..เดาว่าคุณตาท่านนี้คงเป็นสายตรวจท้องที่
รุงรัง ดีเหลือเกิน ..ท่าแบกปืน ท่านี้ไม่มีสอนในโรงเรียน
แต่ ถ้าได้เดินตามควายหายสัก 2 วัน.. รับรองทุกคนทำเป็น
https://ohrgaw.bay.livefilestore.com/y1maxhmMjjtuXkWwohAFsHW7HMcTeM7imfSXw9ggWbanszAio2akF3oJ_-kQJkcVRZHuA4jAUF975KkMXAFLAqx4akJXhr-sW3M_7oHTnQDIMkbHmtIv9aZ7N6u-Yz8NWJ7m2Dx0uTewk7lNrCHOmypyA/oldpolice_-2-82551_7.jpg
สำอางค์ไม่เบานะเนี่ยะ
...จากรูป มือขวาน่าจะกาน้ำชา บ่าขวาคงจะเป็นถุงข้าวสารหรือข้าวตาก
เอวมีซองแหนบกระสุน ดาบปลายปืน
...หัวเข็มขัดรุ่นนี้ผมทันได้ใช้อยู่ 5-6 ปี
...สงสัยก็แต่ปืน สัดส่วน รูปร่าง คล้ายจะเป็นคาร์บิน
แต่เทียบยุคสมัยแล้วไม่น่าใช่ ..เอ่ หรือว่าใช่
ผมทันได้ใช้ปืนรุ่นนี้ด้วยนะ แต่ผมยังไม่เก่าขนาดนั้นนี่
:eek:
รบกวนพี่หมวดแม็คอีกสักครั้ง
ลองขยายรูปดูดีๆ ก่อนครับพี่
ที่คุณตาหิ้วมา ผมว่าไม่น่าใช่กาน้ำชา แต่อาจจะเป็นยุทธภัณฑ์อะไรสักอย่างหนึ่ง :rolleyes:
รบกวนพี่หมวดแม็คอีกสักครั้ง
ลองขยายรูปดูดีๆ ก่อนครับพี่
ที่คุณตาหิ้วมา ผมว่าไม่น่าใช่กาน้ำชา แต่อาจจะเป็นยุทธภัณฑ์อะไรสักอย่างหนึ่ง :rolleyes:
:)
...ผมมองไม่ออกครับ ยังเห็นเป็นที่ใส่กาน้ำชาอย่นั้นแหละ
แบบที่สานด้วยหวาย ด้านในบุนวมเพิ่อรักษาความร้อน
...อืมม แต่ถ้าไม่ใช่กาน้ำชา แล้วมันควรจะเป็นอะไรน๊อ ?:cool:
:)
...ผมมองไม่ออกครับ ยังเห็นเป็นที่ใส่กาน้ำชาอย่นั้นแหละ
แบบที่สานด้วยหวาย ด้านในบุนวมเพิ่อรักษาความร้อน
...อืมม แต่ถ้าไม่ใช่กาน้ำชา แล้วมันควรจะเป็นอะไรน๊อ ?:cool:
ผมก็ไม่แน่ใจครับ
แต่ขยายดูรูปแล้วเห็นว่าวัตถุนั้นเหมือนแยกชิ้นกันหลายชิ้น
เป็นวัตถุทรงคล้ายขวดหรือกระบอกหรือกระป๋องที่แต่ละชิ้นมีหูหิ้ว (ดูที่หูหิ้วไม่ได้เป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด ในภาพเห็นอย่างน้อย ๓ หู)
แต่มีห่วง ผ้าหรือเชือกขาวๆ มัดรวมกันแล้วใช้มือหิ้วที่ตรงสีขาวๆ ที่มัด (ดูแล้วไม่ได้หิ้วหูโดยตรง) ใช่ไหมครับ
เลยคิดว่าอาจไม่ใช่กาน้ำ เลยคิดว่าพี่เกิดก่อนอาจจะทันเห็นของอะไรแปลกๆ ในคลังบ้าง
รุ่นผมตอนนี้เข้าไปลุยรื้อห้องพัสดุโรงพักที่อยู่ตอนนี้ ขนาดโรงพักชายแดนยังไม่เห็นเจ้าพายุสักลูก
เมื่อเกือบสิบปีก่อนลงใต้ไปยังแอบเห็นซุกๆ โทรมๆ หลงเหลือกันอยู่บ้างครับ
จะว่าเป็นตะเกียงกระป๋องหรือเปล่า
ถ้าใช่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นแบบแก๊ส ที่ทันสมัยในยุคนั้น (ค.ศ.๑๙๐๐) หรือตะเกียงน้ำมันก๊าศ (สะกดแบบเก่า)
ผมเคยเล่นแต่เจ้าพายุ ส่วนตะเกียงรั้ว ตะเกียงลาน ตะเกียงแก๊ส จำพวกนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องเลยครับ
แต่มีเกร็ดบันทึกเก่าจะมาเล่าให้ฟังว่า ผมเคยแอบเห็น ปจว. เก่าสมัย ร.๕
มีข้อหนึ่งบันทึกถึงการที่พลตระเวณ เบิก "โคม... (ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเอกสารให้เผยแพร่ครับ) " ไปใช้
ผมเห็นเอกสารนี้ เลยคิดถึงตะเกียงขึ้นมาเท่านั้นครับ
ไม่ยืนยันเพราะลักษณะของโคม... ที่ว่า ต่างจากในภาพมาก
ถ้าในภาพเป็นตะเกียง ก็อาจจะเป็นคนละชนิดกันครับ
ตะเกียงเจ้าพายุ.. เคยเห็นในคลังพัสดุของโรงพัก
ตะเกียงลาน ไม่เคยเห็นที่โรงพัก แต่เคยเห็นที่วัด
ตอนนี้เห็นแต่เฉพาะในร้านค้าของเก่า ..แพงน้ำตาเล็ด
เคยมีลูกหนึ่ง ลานขัดส่งลานไปซ่อม แล้วก็หายไปเลย
ทั้งช่างทั้งลาน ..ตอนนี้เหลือแต่ตะเกียงไร้ลาน :(
ครึ้มๆ ก็เอามาจุด(ควันโขมง) ..ตอนนี้ก็หาซื้อน้ำมันก๊าด ยากซะอีก
สมัยโน้น...โรงพักนาดี ,วังขอนแดง , สระบัว , วังตะเคียน
ยังเป็น สภ.ต. อยู่ในเขตรับผิดชอบของ โรงพักกบินทร์บุรี
(เดี๋ยวนี้คงเป็นโรพักมีผู้กำกับ) ..โรงพักตำบลพวกนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้
กลางคืนก็แขวนตะเกียงเจ้าพายุ
...ที่ผมสนใจอยากได้มาสะสมเป็นของที่ระลึก มี ๒ อย่าง
รอว่าเมืื่อไหร่เขาจะแทงบัญชีำหน่าย
กุญแจมือ กับระฆังแผ่น
กุญแจมือแบบนี้
http://www.handcuffs.org/tower/providence_handcuff.jpg
ระฆังแผ่น(หารูปไม่ได้)
ตะเกียงเจ้าพายุ.. เคยเห็นในคลังพัสดุของโรงพัก
ตะเกียงลาน ไม่เคยเห็นที่โรงพัก แต่เคยเห็นที่วัด
ตอนนี้เห็นแต่เฉพาะในร้านค้าของเก่า ..แพงน้ำตาเล็ด
เคยมีลูกหนึ่ง ลานขัดส่งลานไปซ่อม แล้วก็หายไปเลย
ทั้งช่างทั้งลาน ..ตอนนี้เหลือแต่ตะเกียงไร้ลาน :(
ครึ้มๆ ก็เอามาจุด(ควันโขมง) ..ตอนนี้ก็หาซื้อน้ำมันก๊าด ยากซะอีก
สมัยโน้น...โรงพักนาดี ,วังขอนแดง , สระบัว , วังตะเคียน
ยังเป็น สภ.ต. อยู่ในเขตรับผิดชอบของ โรงพักกบินทร์บุรี
(เดี๋ยวนี้คงเป็นโรพักมีผู้กำกับ) ..โรงพักตำบลพวกนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้
กลางคืนก็แขวนตะเกียงเจ้าพายุ
...ที่ผมสนใจอยากได้มาสะสมเป็นของที่ระลึก มี ๒ อย่าง
รอว่าเมืื่อไหร่เขาจะแทงบัญชีำหน่าย
กุญแจมือ กับระฆังแผ่น
กุญแจมือแบบนี้
http://www.handcuffs.org/tower/providence_handcuff.jpg
ระฆังแผ่น(หารูปไม่ได้)
กุญแจมือแบบนี้ ผมเคยมีใช้อยู่ชุดหนึ่งครับ
พี่บัญชาแกใจดีเดินไปเห็นเลยหยิบมาฝาก
เป็นของยี่ห้อ ทาวเวอร์ (น่าจะลันดั้น อังกิด)
ลูกกุญแจเป็นแบบบล็อคกวดขันเกลียว
ถ้าลูกหายก็มึนหัวเลยละครับ
ตอนนี้เลยไม่กล้าเอาไปใช้
แล้วก็ไม่ทราบเส้นทางหลบหนี แต่คิดว่าน่าจะซุกรวมอยู่กับขยะกองใดกองหนึ่งในบ้านพักครับ
http://i116.photobucket.com/albums/o10/surush/oldpolice_-2-82551_7_zpscbfcbc7a.jpg
ยังไม่แล้วใจ...
ตัดภาพ ขยายออกมา ก็ยังดูไม่ออก
หากจะอนุมานเอาจากของประกอบอื่นๆ
คุณตา ท่านกำลังจะไปตรวจท้องที่แบบไปค้างแรม
มีอาวุธ กระสุนสำรอง เสบียงกรัง
...คงต้องไปหุงหากินเอง งั้นถ้าเป็นหม้อสนามล่ะ
เป็นไปได้ไหม ? ..
http://i116.photobucket.com/albums/o10/surush/oldpolice_-2-82551_7_zpscbfcbc7a.jpg
ยังไม่แล้วใจ...
ตัดภาพ ขยายออกมา ก็ยังดูไม่ออก
หากจะอนุมานเอาจากของประกอบอื่นๆ
คุณตา ท่านกำลังจะไปตรวจท้องที่แบบไปค้างแรม
มีอาวุธ กระสุนสำรอง เสบียงกรัง
...คงต้องไปหุงหากินเอง งั้นถ้าเป็นหม้อสนามล่ะ
เป็นไปได้ไหม ? ..
ถ้าขยายใหญ่ขนาดนี้ ผมก็เริ่มไม่แน่ใจอีกแล้วครับ
จอผมแค่ 10 นิ้ว ขยายไม่ได้ภาพขนาดนี้
(วันนี้มาดูเครื่องใหญ่)
สารภาพว่าตอนแรกผมคิดถึง โคมแก๊ส Carbide Lamp
http://image.shutterstock.com/display_pic_with_logo/668836/99257981/stock-photo-carbide-lamp-99257981.jpg
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/Hational%20Carbide%20Lantern.jpg
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/Lucas%20King%20of%20the%20Road.jpg
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/Search%20Light%20.jpg
หรือโคมเดินทาง (ใช้น้ำมัน) จำพวกนี้
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/boat%20lantern.jpg
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/police%20lantern.jpg
http://s91795574.onlinehome.us/pics/utility/Perkins%20Bow%20Light.jpg
เพราะผมเห็นเหมือนมีปุ่มหรือจุดอะไรที่ตำแหน่งเหมือนแบ่งชิ้นแบ่งส่วนอยู่
ถ้าโคมพวกนี้มีหูหิ้ว แล้วเอามามัดรวมกัน ดูผ่านๆ หน้าตาก็อาจจะคล้าย
แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจอีกแล้ว
เพราะในถาพเป็นไปได้ว่าเป็นวัตถุที่มี ๒ หู คล้ายหูหิ้วนวมกาน้ำอยู่เหมือนกัน
เพียงแต่ที่ชี้ชัดได้คือ คุณตาแกไม่ได้หิ้วที่หูนั้นโดยตรง แต่ใช้เชือกหรือผ้ามัดหูแล้วหิ้วที่เชือกหรือผ้า
สรุปคือ ถ้าไม่ได้เห็นภาพที่ชัดกว่านี้ใหญ่กว่านี้ ที่อัดจากฟิล์มใหญ่ (ภาพที่เราทายกันนี้เล็กกระจิดเดียว)
ผมคงได้แต่เดาไปต่างๆ นาๆ เรื่อยๆ ครับ :p:p:p
รื้อๆ กองของรกๆ เจอแล้วครับ
http://www.konrakmeed.com/Files-Upload/แวบมา/20130108063621image.jpg
ปรากฏว่าผมจำผิด
ชุดนี้เป็นยี่ห้อ ไฮแอต แต่ก็ของอังกิดครับ
ใช่แบบบนี้แหละครับ ที่เคยเห็นของจริง แต่ไม่ได้ชุบผิวกันสนิม
ตรงที่ขับของลูกกุญแจออกจะรี ไม่กลมมาก
ผมว่า..เรื่องตำนานว่า โจรบางคนมีวิชาสะเดาะกุญแจมือ
น่าจะเป็นกุญแจมือรุ่นนี้แหละ
...ตะเกียง ที่มีไฟเขียว แดง ..น่าจะเป็นตะเกียงเรือนะครับ
ผมมีลูกหนึ่งเหลือแต่โครงทำด้วยทองเหลือง สมัยที่บ้านทำตังเก เรือโล้
มีกระจกโคม เขียวข้างหนึ่ง แดงข้างหนึ่ง ข้างในตรงกลางมีตะเกียงน้ำมัน
เป็นเด็กๆ พวกผมเอามาเล่นกันแตกหมด
ยังมีทุ่นแก้วสำหรับผูกให้อวนลอย ไปเจอในตลาดนัดเห็นขายกันลูกละเป็นพัน
ก็มีคนซื้อ ..เป็นแก้วสีเขียวเนื้อหนา เป่ากลมปิดผนึกเหมือนลูกบอล
ไม่รู้ว่าคนซื้อ เขารู้หรือเปล่าว่าอะไร..
...ตะเกียงแก๊ส ที่เคยเห็นไม่สวยขนาดนี้ ถ้ามีรถขายฝรั่งดอง หนังกลางแปลง
หมึกย่าง อ้อยขวั่น ละเข้าบรรยากาศเลย :p
ใช่แบบบนี้แหละครับ ที่เคยเห็นของจริง แต่ไม่ได้ชุบผิวกันสนิม
ตรงที่ขับของลูกกุญแจออกจะรี ไม่กลมมาก
ผมว่า..เรื่องตำนานว่า โจรบางคนมีวิชาสะเดาะกุญแจมือ
น่าจะเป็นกุญแจมือรุ่นนี้แหละ
...ตะเกียง ที่มีไฟเขียว แดง ..น่าจะเป็นตะเกียงเรือนะครับ
ผมมีลูกหนึ่งเหลือแต่โครงทำด้วยทองเหลือง สมัยที่บ้านทำตังเก เรือโล้
มีกระจกโคม เขียวข้างหนึ่ง แดงข้างหนึ่ง ข้างในตรงกลางมีตะเกียงน้ำมัน
เป็นเด็กๆ พวกผมเอามาเล่นกันแตกหมด
ยังมีทุ่นแก้วสำหรับผูกให้อวนลอย ไปเจอในตลาดนัดเห็นขายกันลูกละเป็นพัน
ก็มีคนซื้อ ..เป็นแก้วสีเขียวเนื้อหนา เป่ากลมปิดผนึกเหมือนลูกบอล
ไม่รู้ว่าคนซื้อ เขารู้หรือเปล่าว่าอะไร..
...ตะเกียงแก๊ส ที่เคยเห็นไม่สวยขนาดนี้ ถ้ามีรถขายฝรั่งดอง หนังกลางแปลง
หมึกย่าง อ้อยขวั่น ละเข้าบรรยากาศเลย :p
กุญแจมือของผมก็สนิมเขรอะนั่นแหละครับ
เจ้าของเดิมเขาเอาไปชุบโครเมี่ยมเคลือบไว้ แต่อยู่กับผมก็เริ่มจะได้ผิว "สนิมกลับ" แล้วครับ
สำหรับรูปตะเกียง
รูปสุดท้ายหยิบเกินมาครับ แต่พอรูปขึ้นแล้วเห็นว่ามีเรื่องให้พูดต่อเลยไม่เปลี่ยน
คือโคมแบบนี้จะเป็นกึ่งๆ เครื่องทัศนสัญญาณ ไม่ได้ใช้เอาไว้ส่องทางแต่อย่างเดียว
มีทั้งแบบ โคมที่มีทั้งสีเขียว สีแดง อย่างนี้อยู่ในลูกเดียวกัน อาจผูกไว้ปลายเสาหรือแขวนหัวท้ายเรือให้คนอื่นมองมาเห็น
และแบบโคมคู่ ๒ ลูก สีเขียว ๑ , แดง ๑ แยกกันลูกละสี เวลาใช้จะผูกข้างเรือลูกละกราบแยกกันไปเลย (ห้ามสลับสี)
และมีอีกแบบหนึ่งคือ โคมเดินทาง อย่างตะเกียงรถยนตร์ ตะเกียงจักรยาน อย่างนี้จะมี "กระจก" แก้วใสบานใหญ่เอาไว้ส่องทางข้างหน้า
สำหรับด้านข้างจะเป็นช่องกระจกสีเขียวสีแดง เอาไว้ให้คนอื่นมองครับ
ส่วนที่ว่าทำไมต้องใช้สีเขียวสีแดงนั้น มีกำเนิดเริ่มมาจากแบบธรรมเนียมทหารเรือ สมัยที่การเดินทางใช้เรือเป็นหลัก
แต่ต่อมาเมื่อมียานพาหนะอย่างอื่นเป็นที่นิยมก็นำมาใช้ด้วยไม่จำกัดแต่เรือ อย่างรถยนตร์รถจักรยานที่กล่าวมา
อาจเพิ่มไฟส่องทาง แต่ก็ยังยึดขนบเดิมของชาวเรือด้วยไม่ได้ทิ้ง
ตะเกียงของการรถไฟที่ใช้ สีเขียว สีแดง ก็มีครับ
แต่เป็นอีกจุดประสงค์คนละความหมายกันกับตะเกียงที่มาจากตะเกียงเรือ
คือตะเกียงเรือจะติดที่ยานพาหนะเพื่อให้คนอื่นเห็น และหลบหลีกกันถูก
แต่ตะเกียงรถไฟที่มี ๒ สี เอาไว้ให้นายสถานีส่งทัศนสัญญาณให้ พขร. เห็น
แทนการตีธงเขียว ธงแดง ในเวลากลางคืนหรือเวลาที่ทัศนวิสัยไม่ดีครับ
ที่ผมนึกถึงตะเกียงเมื่อดูจากภาพ ก็เพราะลักษณะงานของตำรวจโบราณมีความจำเป็นต้องใช้ตะเกียง
คือยุคที่พลตระเวนต้องเดินตรวจตรา เป็นสายตรวจเดินเท้า และในยุคที่ถนนหนทางมืดสนิท โคมตะเกียงน่าจะมีความจำเป็นครับ
ทุ่นแก้วอวนลอย ที่บ้านน้าผมทำตังเก ไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่า
ตอนเด็กๆ ช่วงปิดเทอมนานๆ ทีผมถึงจะได้ไปบ้านคุณตา คุณยาย
พี่ๆ ผมเลยเย็บตับจากเป็นกันทุกคน
ส่วนผมเป็นคุณหนู มีบ่าวมีสมุนคอยติดตามไม่ต้องทำอะไรนอกจากไปค้นหาหนังสืออ่าน
ผมเลยเคยเห็น แต่ทำอะไรไม่เป็นเลยจนทุกวันนี้ครับ
เรื่องของที่เราไม่คิดว่าจะมีราคา แต่นานไปกลับมีค่าสูงมากนั้นผมก็เคยได้ยินคุณแม่เล่าให้ฟังครับ
เมื่อก่อนหลวงพ่อ...เขาว่าท่านเก่งนัก คุณตาไปหาท่านบ่อย ได้เหรียญรุ่นแรกมาเป็นกระป๋อง
ตอนงานศพคุณทวดใครไปใครมาก็หยิบแจกเป็นของชำร่วยจนหมด
ทุกวันนี้ คุยกับพรรคพวกที่เล่นพระสนามใหญ่ เขาว่าแค่เหรียญเดียวถ้าเก็บไว้ราคาน่าจะสักครึ่งล้าน
สำหรับตะเกียงแก๊สที่พี่ว่าสวยไม่เคยเห็นนั้น
สมัยก่อนเรามีแต่ของอย่างนี้ใช้ครับ
ของปลอม ของเลียนแบบ ของก็อปปี้ ที่นิยมกันยุคนี้ ยุคนั้นยังไม่แพร่หลาย ถึงมีคนอยากทำก็ไม่มีเครื่องจักรเครื่องมือเทคโนโลยี่พอ
ชาวบ้านที่พอมีฐานะถ้าจะซื้อเจ้าพายุไว้แขวนลานนวดข้าวก็จะได้ซื้อตะเกียงเยอรมัน ไม่ใช่ยี่ห้อเยอรมันทำในจีนเหมือนเดี๋ยวนี้
ตะเกียงอังกฤษสำหรับตั้งโต๊ะคหบดี หรือตะเกียงดัชต์แขวนเพดานบ้าน ก็เป็นตะเกียงอย่างดีมาจากผู้ผลิต/ออกแบบโดยตรง
เพราะสินค้าเหล่านี้มาจากห้างตัวแทนนำเข้าใหญ่ๆ ผู้นำเข้าก็มักจะเลือกของดีเข้ามาขาย เพราะคนนิยมขายได้ดีกำไรก็มาก
หรือเพราะคนยุคนั้นเขาแข่งกันทำของดี ของไม่ดียังผลิตออกมาน้อยก็ไม่รู้
สำหรับชาวบ้านธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องใช้ของนอกก็จะใช้ของพื้นบ้านอย่างไต้ไฟ ตะเกียงกะลากระป๋อง เทียน อะไรจำพวกนี้
หรืออย่างดีก็ตะเกียงน้ำมันใช้ไส้ธรรมดาเท่านั้น
ของเกรดกลางๆ - ต่ำๆ ยังไม่เป็นที่นิยม (สมัยสักร้อยปีก่อน)
เพ่อมามีในยุคหลังสงครามที่ญี่ปุ่นนำหน้ามาเป็นเจ้าตลาดของก็อป จนเดี๋ยวนี้ตำแหน่งนั้นเป็นของจีนครับ :)
งานเก่าๆ ช่างเขาพิถีพิถันในการทำ ผ่านวันเวลามาตั้งนานจนพ้นสมัยแล้ว
ก็ยังดูสวยงาม
...ตะเกียงเรือ(อีกที) เมื่อตอนเป็นเด็ก ช่วงเย็นๆถึงค่ำ เพื่อนลุง ๓-๔ คน
จะแวะเวียนมาเป็นแขกประจำที่บ้าน พอกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ
ผมเป็นต้องรีบมานั่งฟังลุงกับเพื่อนๆลุง ฝอยคุยกัน รู้สึกสนุกสนานดี
จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ก็จำไม่ได้แล้ว
...ลุงกับเพื่อน อดีตเป็นตังเกเก่ากันทุกคน ทำโป๊ะ ทำอวนลาก
จำได้บ้างว่า..ตื่นเต้นเมื่อเขาเล่าว่าโลมาเคยวายมาถึงหน้าบ้าน
(บ้านผมปลูกในทะเล)แต่ผมไม่เคยเห็นสักที ..ตื่นเต้นยิ่งกว่าอีก
ตอนที่บอกว่ามีปลาวาฬ(เล่าอย่าที่เขาเรียก) ตัวเท่าลำเรือที่หน้าเขาสามมุก
(ปีก่อนมีบลูด้าขึ้นที่บางแสน)
...เรื่องตะเกียงเรือนี่จำได้แม่น บอกว่าเวลาเรือสวนกัน
ให้สวนด้วยด้านที่มีไฟสีเดียวกัน ไม่งั้นอาจจะชนกัน
ก็จำไว้ แต่ไม่เข้าใจ ..ท่านน้าแวบมา พอจะมีคำอธิบายให้บ้างไหม :)
งานเก่าๆ ช่างเขาพิถีพิถันในการทำ ผ่านวันเวลามาตั้งนานจนพ้นสมัยแล้ว
ก็ยังดูสวยงาม
...ตะเกียงเรือ(อีกที) เมื่อตอนเป็นเด็ก ช่วงเย็นๆถึงค่ำ เพื่อนลุง ๓-๔ คน
จะแวะเวียนมาเป็นแขกประจำที่บ้าน พอกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ
ผมเป็นต้องรีบมานั่งฟังลุงกับเพื่อนๆลุง ฝอยคุยกัน รู้สึกสนุกสนานดี
จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ก็จำไม่ได้แล้ว
...ลุงกับเพื่อน อดีตเป็นตังเกเก่ากันทุกคน ทำโป๊ะ ทำอวนลาก
จำได้บ้างว่า..ตื่นเต้นเมื่อเขาเล่าว่าโลมาเคยวายมาถึงหน้าบ้าน
(บ้านผมปลูกในทะเล)แต่ผมไม่เคยเห็นสักที ..ตื่นเต้นยิ่งกว่าอีก
ตอนที่บอกว่ามีปลาวาฬ(เล่าอย่าที่เขาเรียก) ตัวเท่าลำเรือที่หน้าเขาสามมุก
(ปีก่อนมีบลูด้าขึ้นที่บางแสน)
...เรื่องตะเกียงเรือนี่จำได้แม่น บอกว่าเวลาเรือสวนกัน
ให้สวนด้วยด้านที่มีไฟสีเดียวกัน ไม่งั้นอาจจะชนกัน
ก็จำไว้ แต่ไม่เข้าใจ ..ท่านน้าแวบมา พอจะมีคำอธิบายให้บ้างไหม :)
เขียนไว้ให้หน่อยหนึ่งแล้วครับพี่
แต่กั๊กไว้ รอพี่ถามนี่แหละครับ :p
คือโคมแบบนี้จะเป็นกึ่งๆ เครื่องทัศนสัญญาณ ไม่ได้ใช้เอาไว้ส่องทางแต่อย่างเดียว
มีทั้งแบบ โคมที่มีทั้งสีเขียว สีแดง อย่างนี้อยู่ในลูกเดียวกัน อาจผูกไว้ปลายเสาหรือแขวนหัวท้ายเรือให้คนอื่นมองมาเห็น
และแบบโคมคู่ ๒ ลูก สีเขียว ๑ , แดง ๑ แยกกันลูกละสี เวลาใช้จะผูกข้างเรือลูกละกราบแยกกันไปเลย ( ห้ามสลับสี )
และมีอีกแบบหนึ่งคือ โคมเดินทาง อย่างตะเกียงรถยนตร์ ตะเกียงจักรยาน อย่างนี้จะมี "กระจก" แก้วใสบานใหญ่เอาไว้ส่องทางข้างหน้า
สำหรับด้านข้างจะเป็นช่องกระจกสีเขียวสีแดง เอาไว้ให้คนอื่นมองครับ
ส่วนที่ว่าทำไมต้องใช้สีเขียวสีแดงนั้น มีกำเนิดเริ่มมาจากแบบธรรมเนียมทหารเรือ สมัยที่การเดินทางใช้เรือเป็นหลัก
แต่ต่อมาเมื่อมียานพาหนะอย่างอื่นเป็นที่นิยมก็นำมาใช้ด้วยไม่จำกัดแต่เรือ อย่างรถยนตร์รถจักรยานที่กล่าวมา
อาจเพิ่มไฟส่องทาง แต่ก็ยังยึดขนบเดิมของชาวเรือด้วยไม่ได้ทิ้ง
พระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านน้ำไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖
มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า ได้ทรงพระราชดำริเห็นว่า
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยที่ได้ตราขึ้นไว้ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน รัตนโกสินทร์ ศก ๑๒๔ นั้น ยังมีบกพร่องอยู่หลายประการ สมควรจะเปลี่ยนแก้ให้สมกับกาลสมัย
เพราะฉะนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้แทน ดังต่อไปนี้...........
มาตรา ๑๐๔ เรือกลไฟเล็กและเรือยนต์ทุกลำ เมื่อเวลาเดินต้องมีโคมไฟสีเขียวไว้ข้างแคมขวาดวงหนึ่ง โคมไฟสีแดงข้างแคมซ้ายดวงหนึ่ง และโคมไฟสีขาวอย่างแจ่มแขวนไว้ในที่เด่นสูงจากดาดฟ้า ให้ถูกต้องตามที่จะกำหนดไว้ในกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ
มาตรา ๑๐๕ เรือทุกลำและแพไม้ทุกแพที่ทอดสมอหรือผูกอยู่กับหลัก หรือกำลังเดินหรือล่องอยู่นั้น ต้องแขวนโคมไฟสีขาวดวงหนึ่งไว้ ในที่เด่นให้เป็นที่แลเห็นได้จากทุกทิศ แต่ถ้าจอดผูกเทียบอยู่กับฝั่งแม่น้ำไม่จำเป็นต้องมีโคมไฟไว้เช่นนี้ก็ได้
มาตรา ๑๐๖ เรือลำเลียงและเรือโป๊ะจ้ายทุกลำ ถ้าเป็นเรือที่เดินด้วยเครื่องจักรอย่างเรือไฟ ต้องมีโคมไฟเหมือนอย่างที่บัญญัติไว้สำหรับเรือกลไฟ ถ้าเป็นเรือเดินด้วยใบฉะนั้นต้องใช้โคมไฟตามอย่างที่บัญญัติไว้สำหรับเรือใบที่กำลังเดิน
มาตรา ๑๐๗ เรือทุกลำที่อยู่ในพ่วงที่กำลังเดินหรือทอดสมออยู่ก็ดี ต้องจุดโคมไฟสีขาวไว้ ในที่เด่นแลเห็นง่าย ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนพระอาทิตย์ขึ้น เพื่อให้เป็นที่สังเกตได้ชัดว่าหมู่เรือที่พ่วงนั้นยาวและกว้างเท่าใด .........
คุณตาคุณยายของผมไม่ได้อยู่บ้านทะเลครับ อยู่ในเข้ามา
แต่ก็อยู่ริมแม่น้ำ มีท่าพอจอดเรือข้าวลำใหญ่ได้
ปลาโลมา จระเข้ สมัยก่อน(ผมยังไม่เกิด)แถวนั้นมีเป็นธรรมดาครับ
ศาลเจ้าคนจีนที่ปากคลองใกล้บ้านก็ยังมีหัวตะเข้ใหญ่เก็บไว้อยู่
วานซืนนี้คุณแม่ก็เพ่อเล่าให้ฟังว่า
จากหน้าบ้าน(ที่เมื่อก่อนเป็นหลังบ้าน) ที่ทุกวันนี้เป็นถนนเทศบาล
ตอนคุณแม่ยังสาว สมัยนั้นแถบนั้นเป็นป่า ยังพอมีเสือปลาขนาดตัวประมาณหมาไทยตัวใหญ่ ให้เห็นบ้าง
เรียกว่าหน้าบ้านมีจระเข้ หลังบ้านมีเสือ นั่นเทียวล่ะครับบ้านผม
ถ้าเสือนั้นยังอยู่ถึงทุกวันนี้ ผมคงจะไปนอนค้างที่นั่นบ่อยๆ เลยล่ะครับ "เบื่อเก้าอี้หนังเทียม" :love:
จากบ้านนั้นมาที่เขาสามมุก ทุกวันนี้ขับรถไปไม่เกินชั่วโมง
แต่คุณแม่เล่าว่า ตอนคุณตาเป็นหนุ่ม คุณทวดมีเกลอเป็นคหบดีอยู่ที่ทางอ่างหิน ท่านรักคุณตาของผมมากเหมือนลูก
ท่านยกห้องแถวไม้ในตลาดอ่างหินให้คุณตา แต่คุณทวดห้ามไม่ให้คุณตาไปเอา
ท่านอ้างว่า "อ่างหินอยู่ไกล เดินทางลำบาก นั่งเรือใบไปมาก็เป็นอาทิตย์"
แต่จริงๆ ผมว่า ท่านคงจะเกรงใจ เพราะลูกหลานแท้ๆ ทางนั้นเขาก็ยังมีอยู่มาก
เขาจะว่า จู่ๆ เราไปเอาของเขา และที่ทางทางนี้เราก็มีไม่ได้เดือดร้อน
คนสมัยก่อนคงไม่คิดว่าที่ทางจะขายกันได้แพงกันขนาดนี้
ตอนนั้นที่ที่มีอยู่ลำพังตัวก็คงไม่มีแรงไม่มีกำลังพอจะทำนาได้ไหวแล้ว เลยไม่ได้ต้องการไปเอาภาระมาเพิ่มกระมังครับ :rolleyes:
น้าแวบมา นี่กว้างขวางแฮะ :2TU:
...อ่างหิน สมัยก่อนคงจะมายากจริงๆ เมื่อยังเป็นเด็กผมก็เที่ยวเล่นอยู่แถวนั้น
ชวนกันขี่จักรยานไปกัน ..การขึ่จักรยานจากเมืองชลไป บางแสน-อ่างหิน
เป็นเรื่องที่ต้องทำกันให้ได้ในหมู่เด็กรุ่นผม สมัยนั้น ..มันเหมือนเป็นการ
ก้าวข้ามความท้าทาย ตอนอายุถึง ๑๐ ขวบ
...อ่างหินสมัยก่อนนั้นก็เงียบๆ ตัวตลาดมีแค่ห้องแถวเก่านั่นแหละ
มีวัดดังอยู่ ๒ วัด วัดอ่างบน กับวัดอ่างล่าง ..นักเลงโบราณของเมืองชล
ส่วนมากก็เป็นลูกศิษย์ ๒ วัดนี้ ที่บ้านผม คุณตา ลุง น้า ผมเป็นลูกศิษย์
วัดอ่างกันทั้งบ้าน แต่เปล่าเป็นนักเลงกันนะ เป็นคนธรรมดา
พอมาถึงรุ่นพวกผมก็ขาดตอนไป เล่ากันว่าลูกศิษย์วัดอ่างล่าง กับวัดอ่างบน
ชอบลองของกัน ตีกันทุกงาน แต่เป็นพวกหนังดีไม่แพ้ชนะกัน (เล่าตามเขาบอก)
...แม๋ ถ้าคุณตาทวดไม่ห้าม ป่านนี้น้าแวบมา คงได้เปิดร้านขายครก รวยไปแระ
"เรือใบ" น้าแวบมาพูดถึงเรือใบ ..ผมจำได้บางแสนเคยมีเรือใบรับจ้าง
พาคนนั่งออกไปเที่ยว กางใบแล่นไปวนรอบโป๊ะแล้วกลับมาที่เดิม
ไปเที่ยวละ ๔ คน เก็บคนละ ๕ บาท
http://www.bangsaensook.com/images/column_1296804205/BS%2003.jpg
น้าแวบมา นี่กว้างขวางแฮะ :2TU:
...อ่างหิน สมัยก่อนคงจะมายากจริงๆ เมื่อยังเป็นเด็กผมก็เที่ยวเล่นอยู่แถวนั้น
ชวนกันขี่จักรยานไปกัน ..การขึ่จักรยานจากเมืองชลไป บางแสน-อ่างหิน
เป็นเรื่องที่ต้องทำกันให้ได้ในหมู่เด็กรุ่นผม สมัยนั้น ..มันเหมือนเป็นการ
ก้าวข้ามความท้าทาย ตอนอายุถึง ๑๐ ขวบ
...อ่างหินสมัยก่อนนั้นก็เงียบๆ ตัวตลาดมีแค่ห้องแถวเก่านั่นแหละ
มีวัดดังอยู่ ๒ วัด วัดอ่างบน กับวัดอ่างล่าง ..นักเลงโบราณของเมืองชล
ส่วนมากก็เป็นลูกศิษย์ ๒ วัดนี้ ที่บ้านผม คุณตา ลุง น้า ผมเป็นลูกศิษย์
วัดอ่างกันทั้งบ้าน แต่เปล่าเป็นนักเลงกันนะ เป็นคนธรรมดา
พอมาถึงรุ่นพวกผมก็ขาดตอนไป เล่ากันว่าลูกศิษย์วัดอ่างล่าง กับวัดอ่างบน
ชอบลองของกัน ตีกันทุกงาน แต่เป็นพวกหนังดีไม่แพ้ชนะกัน (เล่าตามเขาบอก)
...แม๋ ถ้าคุณตาทวดไม่ห้าม ป่านนี้น้าแวบมา คงได้เปิดร้านขายครก รวยไปแระ
"เรือใบ" น้าแวบมาพูดถึงเรือใบ ..ผมจำได้บางแสนเคยมีเรือใบรับจ้าง
พาคนนั่งออกไปเที่ยว กางใบแล่นไปวนรอบโป๊ะแล้วกลับมาที่เดิม
ไปเที่ยวละ ๔ คน เก็บคนละ ๕ บาท
http://www.bangsaensook.com/images/column_1296804205/BS%2003.jpg
ถ้าเป็นอย่างที่พี่ว่า อ่างหินคงจะมาซบเซาเงียบเหงาในยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมานี้นี่เองครับ
สมัยโบราณที่นั่นถือว่าเป็นแหล่งตากอากาศยอดนิยมอันดับต้นๆ ของประเทศ
ตั้งแต่สมัย ร.๔ ก็มีหลักฐานว่าพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการขุนนางใหญ่
รวมถึงชาวยุโรปที่เดินทางมาอยู่ในสยาม นิยมมาพักฟื้นเปลี่ยนอากาศที่นี่กันมาก
ขออนุญาตยกมาครับ
"ที่อ่างศิลา แขวงเมืองชล อากาศดี โปรดให้ทำที่ประทับแห่งหนึ่ง ได้ทำแต่อิฐปูนขึ้นไว้กับถมสะพานศิลาเป็นถนนออกมาสายหนึ่ง
ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์ ที่สมุหกระลาโหมสร้างตึกใหญ่ขึ้นไว้หลังหนึ่ง
เพื่อจะให้พวกยุโรปที่เจ็บไข้ไปอยู่รักษาตัวตากอากาศที่นั้นเป็นการบุญ
แลที่ตลาดหลังเขาสามมุกนั้น โปรดให้ทำพลับพลาเป็นที่ประพาสขึ้นไว้หมู่หนึ่ง ให้ถมศิลาเป็นถนนออกมาสายหนึ่ง…"
หนังสือพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวถึงตึกที่สร้างไว้ว่า "ตึกอาไศรยสถาน"
ต่อมา ปี พ.ศ.2440 สมเด็จพระนางเจ้าศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
(ขณะนั้นทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ขณะเสด็จประพาสยุโรป)
ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ปฏิสังขรณ์อาคารทั้ง 2 หลัง
และพระราชทานนามอาคารหลังใหญ่ว่า “ตึกมหาราช” และอาคารหลังเล็กว่า “ตึกราชินี”
เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา
มิถุนายน พ.ศ.2449 พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้ประชวรพระโรคปอดในระยะเริ่มแรก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จจากพระบรมมหาราชวังไปประทับรักษาพระองค์ ณ อ่างศิลา
และโปรดเกล้าฯ ให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นตามเสด็จไปถวายการรักษาพยาบาลด้วย
หมายเหตุ : ถ้าทางบ้านคุณตา ผมเคยทราบจากคุณแม่ว่า "ขึ้นวัดใหญ่ฯ " ครับ
และก่อนจะขายครก คงต้องหัด "เข็นครกขึ้นภูเขา(สามมุก)" ก่อนกระมังครับ :p:p:p
นึกไม่ถึงว่ากระทู้เล็กๆของผม จะมีสาระน่าอ่านขยายวงออกไปมากแบบนี้ ต้องมาตามอ่านแล้ว :2TU:
นึกไม่ถึงว่ากระทู้เล็กๆของผม จะมีสาระน่าอ่านขยายวงออกไปมากแบบนี้ ต้องมาตามอ่านแล้ว :2TU:
ต้องขอโทษด้วยครับที่มาแอบขโมยใช้พื้นที่กระทู้ของท่าน ทั้งที่ท่านเสนอให้ย้ายประเด็นไปคุยกันเรื่องอื่นแล้ว
เจ้าของร้านมาปิดร้านไล่แล้ว
แต่ผมกำลังเพลินเลยขอคุยกับพี่แม็คต่อไปอีกสักหน่อย เพียงแค่ขอยืมใช้โต๊ะเก้าอี้อีกสักครู่
ถ้าท่านผู้ตั้งกระทู้อยากให้หยุดตามเจตนารมณ์เดิมผมก็ไม่ขอโต้แย้ง
ยอมหนีบขวดเดินกลับบ้านแต่โดยดีครับ
ขอบคุณครับ
เปล่าเลยครับ ดีเสียอีกที่เป็นสาระสมัยก่อน ประมาณว่า retro แหมคำนี้ฮิต
เหมือนกาแฟชงถุง แล้วเรียกว่ากาแฟโบราณ
ถ้าออกทะเล หาผักบุ้งทะเลไม่เจอ ก็ว่าไปอย่างนิ
ได้เลยท่านสารวัตร :cool:
anaconda
11-01-13, 06:57 PM
เปล่าเลยครับ ดีเสียอีกที่เป็นสาระสมัยก่อน ประมาณว่า retro แหมคำนี้ฮิต
เหมือนกาแฟชงถุง แล้วเรียกว่ากาแฟโบราณ
ถ้าออกทะเล หาผักบุ้งทะเลไม่เจอ ก็ว่าไปอย่างนิ
ได้เลยท่านสารวัตร :cool:
งั้นเรามาตั้งโต๊ะร่วมเสวนา พร้อมไวน์ กับเบียร์เย็นๆ กันดีไหมครับ
ส่วนผมของเป็นผู้ฟัง เสพความเพลิดเพลินเล่าอดีต อดีตที่ประทับใจและที่ดีๆ ไม่มีวันตายไปจากความทรงจำ
...:):)
:D
เจ้าของที่เขาอนุญาตแล้ว งั้นมาว่ากันต่อ
...ตึกที่หลังเขาสามมุก เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ มาจากหาดบางแสน
จะอยู่ทางซ้ายมือ อยู่เชิงเขามีรั้วกว้างขวาง ใช้เป็นเรือนรับรองของรัฐบาล
ประชามคมอาเซี่ยน ก็ถือกำเนิดจากที่นี่แหละ (รายละเอียด) (http://aseanvision.com/news-top-detail.jsp?id=20091127135123384082&mm=11&yy=2009)
..."ตึกมหาราช" "ตึกราชินี" ไม่แน่ใจว่าเป็นหลังไหนบ้าง
เห็นมีตึกทาสีชมพูหลังหนึ่ง บูรณะเมื่อไม่นานมานี้ ตึกหันหน้าออกทะเล
เข้าใจว่าเวลานั้นทิวทัศน์ด้านนี้คงสวยกว่าด้านอื่น ถัดจากต้นไม้
ที่เห็นบางส่วนในภาพ เป็นลานหินไปจรดทะเล
http://i116.photobucket.com/albums/o10/surush/04092011507-1.jpg
ที่เห็นเสื้อเหลืองๆ ยืนเท้าแขนที่หน้ามุขชั้นสองนั้น ให้ลองทายกันว่าใคร
บอกใบ้นิดนึง เป็นสมาชิกรุ่นเดอะในเวปนี้แหละ
ส่วนสะพานหิน ไม่เคยเห็นเลย ..เคยเห็นแต่แผ่นหินขนาดใหญ่
ประมาณ 5x10 เมตร ลาดเอียงจากฝั่งลงไปในน้ำ
ชาวบ้านใช้เป็นทางลาดเข็นเรือขึ้นลง เห็นเมื่อนานแล้ว
แต่ไปครั้งหลังสุดก็ไม่สังเกตุเห็น ดูเหมือนจะกลายเป็นถนนไปแล้ว
ตัวอ่างหิน อยู่ทางขวามือของตึก เป็นเนินหินใหญ่มีแอ่งหินมีน้ำขัง
ปัจจุบันก็ยังมีอยู่
...จากข้อมูล "ต้องนั่งเรือใบมาอ่างหิน" "ขับรถจากบ้านมาอ่างหินไม่เกินชั่วโมง"
"บ้านใกล้แม่น้ำ" ผมเลยเดาว่า น้าแวบมาต้องมีพื้นเพอยู่แถวๆบางปะกง
แต่มาสดุดตรง "ทางบ้านคุณตาขึ้นวัดใหญ่ฯ" ผมก็เดาว่าต้องเป็น
วัดใหญ่อินทราราม ..ถึงตรงนี้เลยงง ตกลงว่า น้าแวบมา เป็น คนเมืองชล หรือคนเมืองฉะ :D
Powered by vBulletin® Version 4.2.3 Copyright © 2025 vBulletin Solutions, Inc. All rights reserved.