View Full Version : ผมว่าความเสื่อมถอยของสังคมน่ากลัวพอๆกับโลกแตก หรือคุณคิดว่ายังไงครับ
ตาเกิ้น
12-02-13, 07:55 AM
ผมรู้สึกว่าคนในยุคปัจจบันเสพสื่อผ่านสิ่งที่เรียกว่า Social Media กันมากเหลือเกินครับ
ผมไม่ได้แอนตี้ Social Media นะ เพราะเว็บบอร์ดที่เราคุยกันนี้ก็เป็นหนึ่งใน Social media เหมือนกัน แต่รู้สึกว่าความสมดุลย์ของการใช้ชีวิตจะเสียกันไปหมดแล้ว
ผมคิดว่า Social Media โดยเฉพาะ Facebook นี่มีข้อดีหลายอย่างแต่ก็มีผลเสียในทางสังคมไม่น้อย อย่างหนึ่งที่ผมกังวลคือสิ่งที่สังเกตได้ว่าคนที่ติดสื่อประเภทนี้มากเข้าจะเสพข้อมูลทาง Facebook มากแต่ อ่านหนังสือน้อยลงมาก
"แล้วมันเสียยังไง?" คุณอาจจะถาม
เพื่อนผมคนหนึ่งเคยบอกว่า สิ่งสำคัญของข้อมูลในหนังสือหรือแม้กระทั่งนิตยสารคือ ข้อมูลมีการกลั่นกรอง มีผู้รับผิดชอบต่อข้อมูลนั้นๆอย่างมีตัวตน(นักเขียนสำหรับหนังสือ และกองรรณาธิการสำหรับนิตยสาร หรือแม้กระทั่ง moderator สำหรับเว็บบอร์ด) ซึ่งมีระดับความน่าเชื่อถือที่ต่างกันไปแต่ผู้อ่านก็รับรู้ได้
แต่ข้อมูลข่าวสารใน Facebook นั้นไม่มีการกลั่นกรองใดๆเลย ความเข้าใจ, ความคิด, ความเชื่อ ใน Facebook ถูกสร้างถูกปั่นขึ้นได้ง่ายมากขอเพียงมีปริมาณของข่าวสารนั้นให้เห็นบ่อยๆ
ดูแล้วน่ากลัวพอสมควรครับว่าเมื่อพฤติกรรมการเสพสื่อของผู้คนค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัวแล้ว พื้นฐานความคิดที่ใช้ในการตัดสินใจรับข้อมูลก็จะเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัวด้วย เมื่อนั้นความเชื่อของสังคมหนึ่งๆก็อาจจะเปลี่ยนไปมาได้อย่างไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ง่ายๆ
คุณคิดว่ายังไงกันครับ
จริงครับพี่ มันเหมือนเป็นดาบสองคม การรับข้อมูลโดยไม่ไตร่ตรองแล้วสรุปเอา จากนั้นก็โหมกระพือใน social network เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก หลายๆเรื่องของเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในโลกนี้ ก็มาจากสิ่งนี้ ผมมองว่าการรับข้อมูลใดๆผู้รับข้อมูลควรต้องใช้สติให้มากขึ้น คิดให้มากขึ้น ก่อนทำจะทำอะไรควรนึกถึงผลที่ตามมา
Stars Under The Sky
12-02-13, 10:06 AM
เห็นด้วยครับว่าข้อมูลทาง internet นั้น หรือ social media นั้นมันมากล้น มีทั้งที่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์แล้วยังอันตราย เสื่อมทราม แต่หลังๆรู้สึกว่าข้อมูลที่มีประโยชน์สาระเหลือน้อยมาก คนสมัยนี้ก็ยิ่งเสพสื่อ เสพข้อมูลจากทางเนท ทาง social media กันมากขึ้นเข้าไปอีก
โดยส่วนตัว ผมก็เป็นคนเล่นเนท เล่น social media เยอะเหมือนกัน แต่บอกตรงๆว่าเล่นเพราะมันสนุก เล่นเพราะมันขำๆ ไม่ได้เล่นเพราะว่าต้องการสาระอะไรอยู่แล้ว
แต่คนสมัยนี้กลับเอาตัวตนไปผูกกับโลก social media มากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าจริงจังกับในโลกของเนทมากกว่าโลกของความเป็นจริง ตัดสินความดีความเลว ใครดี ใครชั่ว กันแค่ตามข้อมูลที่ share ที่ forward กันต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ผสมโรงโพสด่า ประนาม คนนู้นคนนี้ (คนที่เขาคิดว่าเลว) ประมาณว่า กูด่าคนเลวแล้ว กูคือคนดี ผมว่าตรงนี้น่ากลัวมากๆ
ผมว่า เล่นอินเตอร์เนท กันแค่ขำๆจะดีกว่าครับ ส่วนสาระอะไรก็หากันในชีวิตจริง ความดีอะไรก็ทำกันในชีวิตจริง (ไม่ใช่ทำกันในเนท) จะตัดสินคนว่าเขาเป็นคนดีคนเลว ก็ให้เจอตัวจริงเขาก่อน ดูการกระทำของเขาในชีวิตจริงดีกว่า อย่าไปดูไปตัดสินที่เห็นเขาโพสกันในเนท
HELLBOY
12-02-13, 01:25 PM
คนจำนวนไำม่น้อยอยากมีตัวตนบนโลกแห่งความเป็นจริง แต่ก็มีไม่ได้ สังคมอุปโลกจึงเป็นที่นิยมครับ :cool:
แต่ในทางกลับกัน หากเรานำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกวิธี มันก็จะเป็นmarketing toolชั้นเลิศที่มีอัตราการเข้าถึงของมวลชนจำนวนมหาศาลครับ :love:
เฟสบุ๊คนี้ มีอะไรนิดเดียวเหมือนไฟลามทุ่งจริงๆ พวกเกมส์ออนไลน์นี่ก็น่ากลัวนะครับ ถ้าเล่นไม่รู้จักคิดรู้จักแบ่งเวลา ยิ่งเป็นพวกเด็กๆแล้ว บางคนขนาดหนีโรงเรียนมาเล่นกันก็มี
สรุปมันก็อยู่ที่คนใช้อะครับ เป็นผู้ใหญ่อาจแยกแยะอะไรได้ ถ้าเป็นเด็กก็ควรต้องดูแลกันหน่อย:cool:
ของทุกอย่างมีประโยชน์และมีโทษครับ นั้นแล้วแต่ว่าเราจะใช้มันไปทางไหน. ส่วนเรื่องเด็กๆที่เล่นเกมส์หรือเล่นเฟสบุ๊ค พ่อแม่ก็ต้องดูแลหน่อยครับ เพราะส่วนใหญ่พ่อแม่มักจะรู้ความจริงว่าเป็นคนสุดท้าย. ว่าลูกเป็นอะไรไปบ้างแล้ว
แหล่งรวม สแปมเลย
มะนาว+โซดา รักษามะเร็ง
น้ำส้มสายชู+ขนมปัง รักษานิ้วติด
อะไรๆ อีกเยอะแยะ แชร์กันจนต้นตอหัวเราะท้องแตกแระมั้ง -*-
jackagee
13-02-13, 02:00 AM
ผมว่ามันมีประโยชน์ มากกว่าโทษ ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดียแบบไหนก็ตาม
เดาว่า อาจเป็นเพราะ หากเมื่อมันเกิดโทษขึ้นมา มันจะเป็นเรื่องใหญ่ น่าตกใจ น่ากลัว
หลายคนเลยมองเหมารวมว่ามันไม่ดี มันอันตราย
เรืองดีๆมีเยอะนะครับ ประโยชน์ของมันมีเยอะ
ที่ผมคิดแบบนี้เพราะอันไหนไม่มีประโยชน์ ผมก็ไม่เอามันมาเป็นประเด็นหลักในชีวิต
หลายครั้งที่เกิดเหตุร้ายกับบ้านเรา โซเชียลเนตเวิร์ค ให้ประโยชน์มากมายมหาศาล
ยกตัวอย่างตอนน้ำท่วม ปี54 เฟสบุคนี่แหละ ที่รวมพลังคนได้อย่างมหาศาล
แล้วออกไปช่วยเหลือกันอย่างกว้างขวาง
การติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น มันย่อโลกให้เล็กลง
ที่สำคัญ สิ่งที่เราเรียกว่าไม่ดี เรียกว่า ไร้สาระ สำหรับผมแล้ว มันมีประโยชน์ไม่ใช่น้อย
มองมันเป็นมุมมองที่สองรองจากสาระ แล้วเอามาคิดพิจารณา
บางครั้ง ตัวอย่างที่เลว ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของการกำหนดทิศทางในการดำเนินชีวิต
ว่า....อย่าไปผิดทางแบบตัวอย่างเลวๆนั้น
หรือ ความจริงบางอย่าง บางครั้งพึ่งสื่อปกติไม่ได้
ถูกปิด ถูกโกหก ถูกครอบงำ
โซเชียลมีเดีย ก็ทำหน้าที่บอกความจริงได้หลายครั้ง
ประโยชน์อยู่กับคนเสพ โทษตกไปเป็นของคนเลว
ผมว่า ทุกสังคม หากช่วยกันดูแล ตักเตือน บอกกล่าว และรับฟังกัน ก็คงจะอยู่รอดปลอดภัยกันทุกคน
การแพร่กระจายของข่าวสารและข้อมูลในโซเชียลมีเดียมันมีความเร็วเท่าแสง
เท่าแสงจริงๆ เพราะหลายที่ใช้การสื่อสารผ่านไฟเบอร์ออปติก
เราห้ามมันไม่ได้ เราควบคุมมันไม่ได้ แต่ เราดูแลตัวเองและควบคุมตัวเองได้
ครับ
ผมมองว่า ความเสื่อมถอยของสังคม มันน่าเกิดจาก
คนเห็นประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับมากกว่า
หาเหตุผล กลบเกลื่อน ละเลย บดบัง สามัญสำนึกลึกๆของคน ในการพิจารณา ความถูกผิด ชั่วดี
ทำอะไร ไม่ละอาย เกรงกลัว ต่อบาปกรรมกันเลย
มันมีเยอะเหลือเกิน
ตาเกิ้น
13-02-13, 05:35 AM
ครับผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ามันมีประโยชน์ครับ
แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ ไม่น่าจะระวังและมีสติแค่ไหนพฤติกรรมเราอาจจะค่อยๆเปลี่ยนไป นอกจากนี้การบริโภคข้อมูลก็เหมือนการกินอาหาร เมื่อได้รับข้อมูลป้อนเข้าสู่สมองทุกวันความคิดพื้นฐานของคนก็จะเปลี่ยนไป เมื่อความคิดพื้นฐานเปลี่ยน การมองโลกของเราก็จะเปลี่ยน (ลองดูคนที่ดูทีวี เสื้อเหลือง ทีวีสื้อแดงทุกวันเป็นตัวอย่างซิครับ จากคนที่เป็นเพื่อนบ้านกันก็อาจจะกลายเป็นความคิดแตกต่างกันจนไม่มีทางเข้าใจอีกฝ่ายได้)
ที่แจ๊คว่าข้อดีคือข้อมูลไม่ถูกครอบงำ แต่อีกทางหนึ่งก็คือข้อมูลอาจจะถูกชักจูงและปั่นได้ง่ายมากโดยการใช้เงิน ผมยกตัวอย่างนะครับ เช่นสมมุติว่าใครสักคนต้องการหาเสียงล่วงหน้าให้คนรู้จัก เขาอาจจสามารถปล่อยข่าวเป็นระยะๆเช่นเริ่มจาก ทำข่าวว่าเขาเสี่ยงชีวิตช่วยเด็กไม่ให้ถูกรถชนลงในเฟสบุ๊ค แล้วให้เพื่อนสักคนจ่ายเงิน promote post ให้กระจายไปในกลุ่มคนที่ต้องการได้โดยที่ไม่ใครตรวจสอบข้อเท็จจริง จากนั้นก็ทะยอยปล่อยข่าวออกมาเรื่อยให้ชื่อคุ้นตา ให้คนพูดต่อว่าคนนี้เป็นคนดี จนมีคนรู้จักกันทั่วไป จากนั้นก็ทำเพจแสดงตัวเป็นคนดีมีแฟนเพจกด like มากมาย เมื่อมีกลุ่มสาวกมากพอแล้วก็แล้วค่อยๆแสดงความคิดเห็นชักจูงผู้คนไป เมื่อความคิดคนคล้อยตามมากแล้วก็อาจจะเริ่มโจมดีฝ่ายตรงข้ามซึ่งอาจจะเป็นบุคคล, คู่แข่งทางการค้า, หน่วยงาน หรือกลุ่มการเมือง สักวันหนึ่งเขาอาจจะชวนคนออกมาเดินขบวน, ตั้งลัทธิใหม่ หรือ ลงเลือกตั้งผู้ว่า ก.ท.ม.
ข้างบนเป็นตัวอย่างตื้นๆที่ผมคิดขึ้นมายกตัวอย่างง่ายๆ แต่ผมเชื่อว่าคนที่มีประสบการณ์เรื่องจิตวิทยามวลชนและมองทะลุเทคโนโลยี่ตรงนี้จะสามารถทำอะไรได้มากว่านี้มาก เรื่องการตลาดเป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่การใช้ในเรื่องอื่นซิน่ากลัว
ถึงแม้จะไม่มีใครชักใยอยู่เบื้องหลังข่าวที่ลอยไปลอยมาอยู่ทั่วไปก็ยังมีความน่ากลัวในตัวมันเอง เพราะไม่มีใครตรวจสอบข้อเท็จจริงและที่มาครับ
สรุปว่าในความคิดเห็นผม ผมว่ามีประโยชน์ครับ แต่ที่น่ากลัวคือแม้เราจะระวังตัวเราก็ยังอาจจะถูกป้อนข้อมูลเข้าสมองได้อย่างไม่รู้ตัว ที่แย่ไปกว่านั้นเราคิดว่ามีคนไทยที่ไม่ระวังตัวในการรับข่าวสารอยู่มากแค่ไหนละครับ
The_Ttent
13-02-13, 07:09 AM
จะสื่อแบบไหน ยุคไหน ก็เปนดาบสองคมทั้งนั้น
ขอเพียงให้มี สติ คิด และไตร่ตรอง ครับ
แต่...ทุกวันนี้คนเรามักขาด สติ รวมทั้งคิด และไตร่ตรองน้อยลง
jackagee
13-02-13, 11:28 AM
ฉะนั้น คงต้องดูแลซึ่งกันและกันในสังคม
เพราะบางคนอาจเปลี่ยนไปโดยที่ตนเองก็ไม่รู้ตัว
ดูแล ตักเตือน รับฟัง ซึ่งกันและกัน
น่าจะเป็นวิธีรับมือกับสภาพที่เปลี่ยนไปได้ดีที่สุด
เริ่มจากสังคมในครอบครัว และสังคมเพื่อนฝูงที่ใกล้ชิด
สิ่งนี้น่าจะเป็นเกราะป้องกันการหลงทางได้เป็นอย่างดี
:):)
FredBob
13-02-13, 11:39 AM
สังคมก็มีดีมีเลว เราต้องเลือกที่จะอยู่และที่จะไม่อยู่ครับ หรือสุดท้ายแล้วอยู่กับตัวเองก็ยังได้ครับ
HELLBOY
13-02-13, 12:25 PM
ขอเสริมอีกนิด
ในบรรดาsocial networkทั้งหลาย ผมว่าtwitterน่ากลัวสุดครับ เพราะเป็นappที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วกว่าappตัวอื่น โทรศัพท์มือถือราคาไม่แพงหลายตัวก็เข้าถึงได้ จำนวนผู้ใช้จึงมีไม่น้อยเลยทีเดียว
เนื้อหาสารมีแต่ความคิดที่เพ้อเจ้อกันไปเรื่อย ยิ่งตอนสถานการณ์ไม่สงบ(เผากรุง,น้ำท่วม)นี่เป็นแหล่งแพร่สะพัดของข่าวลือชั้นดีเลย อ่านแล้วถ้าไม่กลั่นกรองดีๆนี่มีเหวอกันเลยทีเดียว :crying:
เราต้องพยายามชวนเด็ก ออกห่างจากสื่อเหล่านี้ไปเจอไปดูไปทำกิจกรรมจริงๆ ไปยิงธนูตกปลา ดำน้ำ ขี่จักรยานเดินป่าฯลฯ แล้วเด็กจะเริ่มเข้าใจ แล้วจะรู้อะไรลือ ไม่ลือ. สื่อมิเดีย ยังไม่เท่าไหร่ครับพี่ แบบทดสอบระดับชาติปัญญาอ่อนเนี่ย บ้ากว่าเยอะ
n.s.hunter
14-02-13, 03:37 AM
ต้องสอนหลัก "กามาละสูตร" น่าจะช่วยได้บ้าง...:)
ตาเกิ้น
14-02-13, 07:46 AM
สหายทั้งสอง สรุปได้ดีเลยครับ
เราต้องพยายามชวนเด็ก ออกห่างจากสื่อเหล่านี้ไปเจอไปดูไปทำกิจกรรมจริงๆ ไปยิงธนูตกปลา ดำน้ำ ขี่จักรยานเดินป่าฯลฯ แล้วเด็กจะเริ่มเข้าใจ แล้วจะรู้อะไรลือ ไม่ลือ. สื่อมิเดีย ยังไม่เท่าไหร่ครับพี่ แบบทดสอบระดับชาติปัญญาอ่อนเนี่ย บ้ากว่าเยอะ
จะสื่อแบบไหน ยุคไหน ก็เปนดาบสองคมทั้งนั้น
ขอเพียงให้มี สติ คิด และไตร่ตรอง ครับ
แต่...ทุกวันนี้คนเรามักขาด สติ รวมทั้งคิด และไตร่ตรองน้อยลง
สหายทั้งสอง สรุปได้ดีเลยครับ
Sammaster
15-02-13, 11:04 PM
แหะๆ ผมก็เป็นคนนึงครับที่ไม่ค่อยเล่น social media เท่าไร เหตุผลอาจจะเป็นเพราะช่วงเด็กๆ ผมเคยติดเกมส์ออนไลน์ขนาดหนัก ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างในนั้น จนมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจีรังครับ พอพ้นจากหน้าจอก็ต้องมาอยู่กับชีวิตจริงของตัวเองอยู่ดีครับ ผมถือว่าคนเรารู้จักกันออนไลน์ได้แต่จะสนิทกันจริงๆ ก็เมื่อเจอตัวจริงๆอยู่ดีครับ เปิดจอเราอาจจะมีเพื่อนเยอะแยะ แต่พอปิดจอแล้วก็อยู่คนเดียวอยู่ดีดังนั้นผมมักจะเชื่อถืออะไรที่สัมผัสได้จริงมากกว่าครับ รวมไปถึงเหมือนที่พี่ๆหลายคนว่าคือเรื่องความน่าเชื่อถือของข้อมูล ก็ควรจะฟังหูไว้หูแหละครับ ใช้สติพิจารณาเองเป็นดีที่สุดครับ
Powered by vBulletin® Version 4.2.3 Copyright © 2025 vBulletin Solutions, Inc. All rights reserved.