PDA

View Full Version : คันปากอยากเล่า...ตอน กว่า กุ้งฝอยจะโตเปนกุ้งมังกร



Drunken_Writer
07-07-14, 11:47 AM
คันปาก อยากเล่า#1 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #1

ตอนที่หนึ่ง
ปฐมบท.......มิตรภาพความผูกพัน จักเกิดขึ้นได้แม้น เพียงได้เดินร่วมกันเพียง สี่ก้าว

เสียงเฟสบุ๊ก ดังติ้งๆ ขึ้นมา ระหว่างที่ผมกำลังเดินทางจากจังหวัดอุดรธานี กลับลงมายัง กรุงเทพมหานคร ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย และความง่วงงุน
โดยอัตโนมัติ มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเฟสบุ๊กขึ้นนมาอ่าน..... พี่แย้ปเบอร์โทรศัพท์หน่อย......ข้อความจากกัลยาณมิตรที่อุดรธานี ส่งมา ผมจึงรีบส่งเบอร์กลับไปตามที่ขอมาทันที.......

นี่คือ....จุดเริ่มต้นของมิตรภาพความผูกพันระหว่างผมกับกุ้งฝอยทั้งสามสิบกว่าชีวิตที่อ.ด่านซ้าย จ.เลย รวมถึงมิตรภาพจากกัลยาณมิตรที่ดี ที่ได้รับจากคณาจารย์ มรภ.เลย ที่ได้ร่วมงานกันมา

จากความทรงจำ....
เมื่อให้เบอร์โทรศัพท์ไปกับอาจารย์ที่อุดรแล้ว อาจารย์จากมรภ.เลยก็โทรประสานเรื่องของกิจกรรม ที่ต้องไปทำก็คือ การอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่น อ.ด่านซ้าย จ.เลย ซึ่งโครงการนี้เปนโครงการย่อยในงานวิจัยโครงการใหญ่ จะมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้าร่วมโครงการ.....ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก ....แต่ก็ รับปากรับคำเปนอย่างมั่นเหมาะ เพราะชอบที่จะทำงานกับเด็กๆ โดยเฉพาะ "การสร้างยุวมัคคุเทศก์" ให้กับพื้นที่ต่างๆที่มีความต้องการ....
อย่างน้อย ก็ทำให้เยาวชนเหล่านี้ "รักบ้านเกิด" ของตนเองมากขึ้น
กว่าจะลงตัวเรื่องวันจัดฝึกอบรมก็...เกือบจะไม่ได้มา ดีว่ามีงานสองงานที่รับไว้ก่อนหน้านี้.....เลื่อน!!!!

หลังจากเสร็จงานทัวร์เรียบร้อยแล้ว.......
วันนั้น เปนครั้งแรกที่จะเดินทางตัวคนเดียวไปยังจังหวัด "เลย" ที่เรียกติดปากกันว่า..."เมืองเลย" ไม่ใช่ไม่เคยไป แต่ปกติจะได้ไปก็ต่อเมื่อ พาลูกทัวร์ไปเที่ยว!!!

ผมเลือกที่เดินทางไปจ.เลยตอนสายๆเพื่อไปให้ถึงตอนค่ำๆ จะได้พักก่อนคืนนึง คณาจารย์จาก มรภ.ได้ให้การต้อนรับเปนอย่างดี คุยไปคุยมา ปรากฏว่า เปนลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน ความสนิทสนม..ก็เริ่มขึ้นตรงความเปนรุ่นพี่รุ่นน้องทันทีทันใด

วันรุ่งขึ้น เมื่อเดินทางถึง สถานที่จัดอบรม วัดป่าเนรมิตวิปัสนา อ.ด่านซ้าย จ.เลย
หลังจากเหนเด็กๆและผู้ใหญ่ที่เข้ามาร่วมโครงการครั้งนี้ บอกตรงๆว่าหนักใจมาก ด้วยคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน อายุที่แตกกระสานซ่านกระเซน ไล่มาตั้งแต่ป.ห้า ถึงปราชญ์ชาวบ้านอายุเกือบแปดสิบปี
อีกทั้งการอบรมครั้งนี้ ส่วนของผมถูกแบ่งเวลาไปให้กับกิจกรรมเสริมหลักสูตรถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เรียกว่า มีเวลาแค่สามวันก็น้อยอยู่แล้ว....ตอนนี้เหลือวันครึ่ง แต่ต้องการผลสัมฤทธิ์การอบรมสูง แล้วจะทำยังไงดี???

แต่ถึงจะหนักใจแค่ไหน ก็บอกตัวเองว่า.....เราต้องทำได้สิน่า ตั้งใจแล้วนี่
และ....สิ่งที่กำลังลงมือทำนี้ก็เพื่อ ทดแทนคุณแผ่นดินเท่าที่ความสามารถที่มีจะเอื้ออำนวย

คนอย่าง "แย้ปปี้ อีเยอะมาก" ไม่มีคำว่า "ทำไม่ได้" นอกจากไม่คิดจะทำ......!!!!!

ภารกิจการสร้าง "ลูกกุ้งฝอย" ให้กลายเปน "กุ้งมังกร" จึงเริ่มต้นขึ้น ในวินาทีแห่งห้วงความคิดนั่นเอง......

โปรดติดตามตอนต่อไป แล้วพวกคุณจะหลงรัก "ฝูงลูกกุ้งฝอย"ของผม

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:48 AM
คันปาก อยากเล่า#2 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #2

ตอนที่สอง.... ไม่มีอะไรง่าย---ถ้าไม่ลงมือทำ ไม่มีอะไรยาก---ถ้าไม่ยอมแพ้

ครับ พอเจอกับผู้เข้าอบรมครั้งแรก ผมยอมรับว่าหนักใจพอสมควร เพราะเวลาที่ได้รับมา ค่อนข้างสั้นมาก สำหรับการฝึกคนที่ไม่เคยทำงานมัคคุเทศก์เลย ให้ทำหน้าที่ยุวมัคคุเทศก์ให้ได้...ในวันสำคัญของท้องถิ่น "ประเพณีบุญหลวงและการเล่นผีตาโขน" ที่มีเวลาให้เด็กๆเตรียมตัวแค่....หนึ่งเดือนเต็ม...

เอาล่ะสิ ลูกกุ้งฝอยของผมจะโตเปนกุ้งมังกรทันมั้ย......ดูกันต่อไปครับ

โจทย์ที่ยากเอาการ ประการต่อมาอีกข้อ ที่ได้รับจากหัวหน้าโครงการวิจัยก็คือ กุ้งฝอยทั้งสามสิบกว่าชีวิต จะต้องแยกย้ายกันไปเปนยุวมัคคุเทศก์ประจำวัดในท้องถิ่นของตน ในประเพณีบุญหลวงและการเล่นผีตาโขนของวัดในหมู่บ้านของตน ไม่รวมในงานใหญ่ที่วัดโพนชัย...!!!!

¤¤¤ในอ.ด่านซ้ายไม่ได้มีประเพณีบุญหลวงและการเล่นผีตาโขนเพียงที่วัดโพนชัยแห่งเดียวนะครับ (27-29มิย57) หากแต่ยังมีอีกสามที่ด้วยกันคือ วัดศรีภูมิ วัดโพธิ์ศรีนาเวียง และวัดศรีสะอาด ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-7 กค 57 นี้ หากใครพลาด ที่วัดโพนชัย จะมาแก้ตัวแวะเวียนมาในสามวัดที่เหลือ ก็ขอเชิญนะครับ บอกเลย จะได้เหน ประเพณีหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่ได้ทำเพื่อพิธีกรรมและการท่องเที่ยว แบบ วัดโพนชัยแล้ว แต่จะได้ชมในรูปแบบเพื่อพิธีกรรมความเชื่อ...ซึ่งจะมีเสน่ห์ ลึกซึ้งกว่าที่คิดไว้เยอะเลย¤¤¤

เอาแล้ว มึนตึ๊บ!!! ไมเกรนลอยมาไกลๆ หันไปถามหัวหน้าโครงการว่า ต้องการผลสัมฤทธิ์เท่าใด.....คำตอบที่ได้รับมายิ่งกว่า ซึนามิ.......100% จ้าาาาาา

ฉับพลันเหมือนมีนางฟ้า ลอยผ่านม่านหมอก เดินเข้ามาหา ให้ผมตั้งคำถามต่อไปว่า อาจารย์##ครับ โครงการนี้ มีการFollowมั้ยครับ ..... เหมือนนางฟ้าลงมาชี้ทางสว่าง เพราะคำตอบคือ มีค่ะ..เดี๋ยวต้องมีนัดประชุมติดตามความก้าวหน้า กันอีกหลายครั้งจ้า....

รู้สึกเลยว่า หายใจสะดวกขึ้นมาอีกนิด แต่นางฟ้าไม่ได้มาพร้อมกับข่าวดี แต่มาพร้อมกับเอกสารหนึ่งเล่ม เปนบทบรรยายทั้งไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการทำคำอ่านเปนภาษาไทยแบบคาราโอเกะ เรียบร้อยแล้ว...... กรี้ดๆ ตายล่ะหว่า นี่มันลัดขั้นตอนล่ะหว่า.....เอาไงดี แต่ก็เอาเถอะ เค้าเตรียมมาแล้ว ก็ควรต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้ได้
ผมก็เลยนั่งอ่านและแก้ไขคำพูดและตัดข้อมูลบางอย่างออกไป

¤¤¤หลักการและระบบการฝึกยุวมัคคุเทศก์ของผม ผู้เข้าอบรมจะต้องผ่านขั้นตอนการเรียนรู้หลักและจรรยาบรรณมัคคุเทศก์เสียก่อน การสอนเขียนบทบรรยาย
ถึงจะเริ่มสร้างบทบรรยายขึ้น โดยจะต้องเปนแบบ..."ด้วยตัวเอง" เสียก่อน โดยให้ข้อมูลไปเปนแนวทางการเขียนบทบรรยายในสำนวนของตนเองแล้วจึงเริ่มฝึกบรรยายอย่างจริงจัง¤¤
สำหรับวันแรก ชม.แรก ผมก็เล่าให้เด็กๆและผู้ใหญ่ทั้งหลาย ฟังถึงการทำงานของมัคคุเทศก์ บทบาทหน้าที่ และให้เริ่มหัดบรรยาย โดยเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวก่อนคือ....การแนะนำตัว
ส่วนใหญ่ทำได้ดี และมีเด็กๆ สองสามคนฉายแสงออกมา..........แววตาเริ่มเปนประกายมีความหวัง

รอบต่อมาจึงเปนการให้พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน อ.ด่านซ้าย หรือใกล้บ้านของตนเองทร่อยากแนะนำให้เพื่อนได้รู้จัก ........
รอบนี้ ทำให้ผมได้เห็น ช้างเผือก ที่ซ่อนอยู่ในเมืองแห่งหุบเขาแห่งนี้ ทันที ก่อนพักเที่ยง ผมจึงเรียกเด็กสามคน ที่ดูแล้วน่าจะพัฒนาตนเองได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะเปนเด็กโตที่สุดที่มาอบรมและมีความสามารถ ความตั้งใจอยู่แล้ว
กุ้งฝอยตัวโตทั้งสามชื่อ "แจ้บ เบียร์ แตม" โดยเฉพาะ เจ้าเบียร์ ที่ออกมาแนะนำสถานที่โดยใช้"กลอน ผญา"...... ทำให้ผมเกิดไอเดีย แจ่มๆขึ้นมาทันที

เมื่อผมถามความสมัครใจของทั้งสาม ว่า ยินดีจะมาทำตรงนี้มั้ย มันจะเหนื่อยกว่าคนอื่นนะ เพราะต้องฝึกทุกวันตามบทบรรยายและเทคนิคที่จะสอนให้ เด็กๆ ตอบทันทีแบบไม่คิดว่า " ทำค่ะ ทำ หนูอยากทำ"......ทำเอาหัวใจลุงหมี...พองโต

เอาล่ะ!! ตอนนี้ผมได้ตัวแทนของกลุ่มนี้ที่น่าจะไปโชว์ความสามารถของเด็กด่านซ้าย ในงานใหญ่แล้วล่ะ

ในขั้นตอนต่อไปของโครงสร้างการอบรม.......กำลังจะเริ่มขึ้น

โปรดติดตามตอนต่อไป
แล้วคุณจะหลงรัก กุ้งฝอยตัวน้อยใหญ่ ของผม

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:49 AM
คันปาก อยากเล่า#3 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #3

ตอนที่สาม ... แรงบันดาลใจ มีพลังผลักดันชีวิต.... มากกว่าสิ่งใด จะเปนรองก็...แต่เพียงความรัก.......ในสิ่งที่กำลังจะทำ

เมื่อผมได้ สามกุ้งฝอยตัวจี้ด ออกมาแล้ว ภารกิจต่อไป คืออการทำบทบรรยายหรือ ภาษาอังกฤษเขาเรียกกันว่า Script ให้กับเจ้ากุ้งฝอยสามตัวจี้ด แต่ก็ยังคิดอะไร ไม่ออกในช่วงนี้ คิดออกมาเพียงว่า จะเอากลอนผญาของด่านซ้ายมาทำอะไรใช้อะไรเท่านั้นเอง

หลังพักเที่ยงก็หมดคิวของผมในวันนี้แล้วล่ะครับ คิวที่เหลือในช่วงบ่ายถูกเทไปให้อาจจารย์แก้วและอาจารย์รองแห่ง รร.จุมปี วนิดาภรณ์ มาคุยเรื่องการพูดที่ดี รวมถึงได้พา ยุวมัคคุเทศก์ น้อย แห่งวัดภูมินทร์ ตัวเท่าขี้เมี่ยงสามคน...มาแสดงเปนตัวอย่าง ให้ว่าที่ ยุวมัคคุเทศก์ด่านซ้ายทั้งสามสิบกว่าชีวิตได้ดูเปนตัวอย่างด้วยว่า....ในอนาคตข้างหน้า เด็กๆต้องไปเจออะไรบ้าง

หลังจากที่คุณครูแก้วได้บรรยายจบก็เรียก เด็กน้อยทั้งสาม ซึ่งเรียนอยู่ชั้นป.5 เท่านั้น มาแสดงให้ดูว่าจะต้องทำอย่างไร

เชื่อมั้ยครับ เด็กป.ห้าทั้งสามคน สะกดทั้งผู้ใหญ่และเด็กกว่าสี่สิบคนที่ตรงนั้น ให้ทึ่งกับความสามารถของเด็กน้อยตัวเท่าขี้เมี่ยง ที่มีมากเกินตัว มากกว่ามัคคุเทศก์มีบัตรมัคคุเทศก์เสียด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะเปนความน่ารักในวัยเด็ก ลีลาท่าทาง น้ำเสียง เทคนิคการบรรยายและความถูกต้องของข้อมูล ผมบอกตรงนี้เลย.....ระดับยอดเยี่ยมที่สุด

¤¤¤ มัคคุเทศก์น้อยเมืองน่านทั้งสาม ชนะเลิศการแข่งขันในงานท่องเที่ยวไทย ที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 6 มิย 57 ที่ผ่านมานี้เอง ขอแสดงความยินดีกับคุณครูทั้งสองและเด็กๆด้วยจ้า. ใครสนใจตามไปฟังได้ที่ วัดภูมินทร์ จ.น่านนะคร้าบ¤¤¤

ทันทีที่เด็กน้อยทั้งสาม โชว์ความสามารถที่มีอยู่เกินตัวจบลง... ไอเดียการคิดการแสดงความสามารถของ กุ้งฝอยด่านซ้ายก็บรรเจิดขึ้นมาทันที

ผมจึงไปนั่งเขียนบทบรรยายอันใหม่ให้กับสามกุ้งฝอยทันที

เขียนออกมาได้แบบนี้ (ฉบับนี้เปนฉบับแก้ไขปรับปรุงบทบรรยายโดยกุ้งฝอยทั้งสาม แต่ยังไม่ใช่ ฉบับสุดท้ายที่นำมาใช้ในงานวันที่ 27-29)

☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆
สวัสดีค่ะ พวกเรา มัคคุเทศก์น้อย ด่านซ้าย ขออนุญาตแนะนำตัวให้กับทุกๆท่านได้รู้จักกันก่อนนะคะ
สวัสดีค่ะหนู ด.ญ.¤¤¤¤¤¤¤ ชื่อเล่น แจ๊บ ค่ะ
สวัสดีค่ะหนู ด.ญ.¤¤¤¤¤¤¤ ชื่อเล่น เบียร์ ค่ะ
สวัสดีค่ะหนู ด.ญ.¤¤¤¤¤¤¤ ชื่อเล่น แสตมป์ ค่ะ
พวกเรากำลังศึกษาอยุ่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา

(มัคคุเทศก์ ๑กล่าวกลอนผญา ทักทาย)
“ณ ภูสูงเสียดฟ้า องค์พระธาตุสองรักปกปักรักษาเป็นดินแดนแห่งที่มาของงานบุญพรรษาผีตาโขน”
พวกเรามัคคุเทศก์น้อย อำเภอด่าน จังหวัดเลย วันนี้พวกเรามีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอำเภอ ด่านซ้าย ให้กับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ได้รู้จักความเป็นด่านซ้ายของพวกเรามากขึ้นนะคะ ไม่ว่าจะเป็นองค์พระธาตุศรีสองรัก พระธาตุบ้านคู่บ้านคู่เมองของชาวด่านซ้าย และประเพณีหนึ่งเดียวในประเทศไทย “ประเพณีบุญหลวงหรือการละเล่นผีตาโขนค่ะ”

(มัคคุเทศก์ ๒ กล่าวกลอนผญา แนะนำอำเภอ)
ดินแดนแห่งสัจจะและไมตรี ประเพณีตาโขน
วัดโพธิ์ชัยเก่าแก่ งามแท้แก่งสองคอน
น้ำผักสะท้อนหน่อไม้หวาน นมัสการองค์พระธาตุศรีสองรัก
ฝักหอมเลื่องลือชื่อ นี่คือด่านซ้ายเรา


อำเภอด่านซ้ายเป็นดินแดนแห่งสัจจะไมตรี “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ”พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา กับ “พระไชยเชษฐาธิราช”พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีสัตนาคตนหุต(อาณาจักรล้านซ้างเวียงจันทร์)ดังปรากฏเป็นสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า “พระธาตุศรีสองรัก”สัญลักษณ์แห่งพระราชไมตรีที่พระมหากษัตริย์จากทั้งสองแคว้นได้ทำสัตยาธรรมที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ไม่รุกรานซึ่งกันและกัน ซึ่งองค์พระธาตุศรีสองรักเป็นพระเจดีย์ที่มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างศิลปะแบบอยุธยากับล้านซ้างได้อย่างลงตัวกลมกล่อมโดยลักษณะเด่นคือส่วนฐานนั้น เป็นฐานปัทม (ฐานบัว)เป็นศิลปะแบบอยุธยาส่วนองค์พระธาตุไปจนถึงส่วนยอดั้น เป็นศิลปะแบบล้านซ้าง ลักษณะเด่นคือ องค์พระธาตุเป็นบัวสี่เหลี่ยม ซึ่งในประเทศไทยจะพบได้เพียงในจังหวัดที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศลาว

(มัคคุเทศก์ ๓ กล่าวกลอนผญา)
“เก็บฮางหมากพร้าว หวดหนึ่งข้าวมาประสาน
วาดวิมานอนุรักษ์สักรายเด่น วาดปากวาดฮูดั้งให้ชัดเจน
เป็นการละเล่นผีตาโขน......โบราณมา”
ประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน เป็นประเพณีของชาวด่านซ้ายที่มีความผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาที่ชาวบ้านบ้านสืบทอดต่อกันมานาน ในชาดกตอนสุดท้ายจากทศชาติชาดก คือ “พระเวสสันดรชาดก”อันเป็นพระชาติสุดท้ายก่อนจะลงมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แห่งกรุงกบิลพัทธ์ ก่อนที่จะตรัสรูเป็นเพระพุทธเจ้า เหตุการณ์ในช่วงสุดท้ายของชาดก ในตอนที่ พระเวสสันดรกับนางมัทรีจะเสด็จออกจากป่ากลับเข้ามายังในเมือง เหล่าผีป่าและสัตว์ป่าก็ติดตามมาส่งเสด็จ เหล่าผีป่ากลัวคนจะกลัวในรูปลักษณ์ของตนจึงมีการทำหน้ากากมาใส่บดบังใบหน้าและมีการเรียกกันต่อเนื่องมาว่า “ผีตามคน”และมีการเรียกกันมาในระยะเวลาที่ยาวนานจึงมีการเรียกผิดเพี้ยนไป จนมีการเรียกกันเป็นที่รู้จักว่า ผีตาโขน

(มัคคุเทศก์ ๑)
การละเล่นผีตาโขนที่ท่านผู้มีเกียรติได้ชมในงานนี้ ไม่ใช่ว่าจะมีรูปแบบนี้มาตั้งแต่โบราณนะค่ะ แต่การเล่นผีตาโขนของชาวด่านซ้ายมีวิวัฒนาการมานานแล้วค่ะ อย่างน้อยก็มีบันทึกย้อนหลังว่ามีมากกว่า 100ปีแบ่งเป็น 2 ยุคดังต่อไปนี้คะ
1.ยุคดั้งเดิม (ก่อนพี่ พ.ศ.2500-2530) เชื่อว่าการละเล่นผีตาโขนนั้น เป็นการละเล่นที่สืบเนื่องจากการละเล่นปู่เยอย่าเยอ ความเชื่อที่ถูกผสมผสานระหว่างพุทธ พราหมณ์ ผี ที่รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่ในอาณาจักรล้านช้าง และต่อมาการละเล่นผีตาโขนเริ่มมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากขึ้น จึงเป็นยุคของการเข้ามามีส่วนบริหารงานประเพณีของทางราชกาลตลอดจนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ และมีกระแสตอบรับจากนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดการมีประชาสัมพันธ์จนเป็นที่รู้จักของชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำให้มีการพัฒนาการจากละเล่นเพื่อพิธีกรรมความเชื่อ มาเป็นการละเล่นเพื่อความสนุกสนาน รับองนักท่องเที่ยว

(มัคคุเทศก์ ๓)
2.ยุคปัจจุบัน (ปี พ.ศ.2530-ปัจจุบัน) เป็นยุคที่ถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะก้าวกระโดดก้าวใหญ่ เมื่อการท่องเที่ยวประเทศไทย ได้บรรจุให้การละเล่นผีตาโขน อำเภอด่านซ้าย จัดอยู่ในแผนการท่องเที่ยวและชาวด่านซ้ายทั่วไปก็ได้มีการปรับตัวในลักษณะการตอบสนองและยอมรับการท่องเที่ยว การละเล่นผีตาโขนที่ใช้ประกอบพิธีกรรมจึงนำมาปรับแนวให้เป็นการแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ดูได้ชม ตลอดจนได้ปรับปรุงองค์ประกอบสำคัญๆทั้งคน อุปกรณ์ กิจกรรม สถานที่ แต่ยังไรก็ตามพิธีกรรมที่เคยมีมาตั้งแต่โบราณไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยเลย ผู้ละเล่นผีตาโขนจึงแบ่งออกเป็น2กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ละเล่นตามพิธีกรรมและกลุ่มละเล่นเพื่อการแสดง

(มัคคุเทศก์ ๒ )
ประเภทของผีตาโขนนะค่ะ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆคือ ผีตาโขนใหญ่ และ ผีตาโขนน้อย
ผีตาโขนใหญ่

(มัคคุเทศก์ ๑)
ผีตาโขนน้อย จะเป็นผีตาโขนที่มีรูปร่างและขนาดตามกับบุคลที่เล่น โดยผีตาโขนน้อยนะค่ะ จะสวมใส่หน้ากากและใช้ผ้าเครื่องแต่งกายมาคลุมเรือนร่างให้มิดชิดค่ะ โดยผีตาโขนน้อยทุกตัวจะมีอาวุธประจำกาย ไม่ว่าจะเป็นดาหรือง้าวค่ะ อาวุธต่างๆของผีตาโขนนะค่ะ จะทำมาจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ประมาณไม้จากต้อนงิ้วค่ะ แต่ในอาวุธของผีตาโขนบ้างตัวก็จะมีแนวคิดที่แตกต่างออกไป อาจจะอาวุธที่ทำจากไม้ มาแกะสลักเป็นรูปอวัยวะเพศชายค่ะ โดยที่จะนิยมทาสีแดงตรงปลายของอาวุธค่ะ และอีกสิ่งหนึ่งที่ผีตาโขนน้อยไม่สามารถขาดได้นะค่ะ ก็จะเป็น หมากกระแหล่งค่ะ หรือที่เรียกๆกันว่ากระดิ่งนั้นเองค่ะ สิ่งๆนี้นะค่ะจะเป็นเครื่องดนตรี ที่ช่วยทำให้เกิดเสียงเป็นจังหวะประกอบท่าเดิน และท่าเต้นค่ะ

(มัคคุเทศก์ ๒)
ข้อมูลหาย... :p

(มัคคุเทศก์ ๓)
ความแตกต่างของผีตาโขนใหญ่และผีตาโขนน้อยนะคะ คือ ผีตาโขนน้อยนั้นสามารถเล่นได้ทั่วไป และหน้ากากจะมีสีสันลวดลายที่น่าดูสวยงามเป็นที่ชื่นชม และผีตาโขนเล็กยังมีอุปกรณ์มาเพิ่มช่วยในการละเล่นคือดาบและเสียงจากกระดิ่ง ซึ่งทางด่านซ้ายมีการเรียกว่า เปนภาษาถิ่นว่า หมากกระแหล่ง ส่วนผีตาโขนใหญ่นั้นจะมีรูปล่างลักษณะน่ากลัวและการละเล่นยุ่งยากกว่าตาโขนน้อย จึงมีแต่การเล่นในขบวนค่ะ

(มัคคุเทศก์ ๑)
ตอนนี้ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน คงจะได้รู้จักประเพณีบุญหลวงหรือผีตาโขนด่านซ้ายมากขึ้นบ้างแล้วนะค่ะแต่ด่านซ้ายเรายังมีของดีอีกมากมายเช่น น้ำผักสะท้อน หน่อไม้หวาน ฝักหอม ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป ของอำเภอด่านซ้ายของพวกเรา ที่ท่านสามารถเลือกซื้อได้ในงานหรือศูนย์โอทอป ที่อยู่ด่านหน้าของพระธาตุศรีสองรักนะค่ะ

(มัคคุเทศก์ ๒)
สุดท้ายพวกเรา มัคคุเทศก์น้อย อำเภอด่านซ้ายก็หวังก็หวังว่า ท่านผู้เกียรติทุกท่าน จะมีความสุข ความสนุกสนานในการเข้ามาเยือน อำเภอด่านซ้ายของพวกเรา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะให้เกียรติกลับมาเยือนด่านซ้ายของเราอีก โดยพาญาติสนิทมิตรสหาย ที่ยังไม่เคยมาที่นี่ มาเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกเราอย่างสักครั้งหนึ่งในชีวิต
(มัคคุเทศก์ทั้งสามคนพูดพร้อมกัน)
พวกเรามัคคุเทศก์น้อย อำเภอด่านซ้ายมีความยินที่จะพาท่านมีเกียรติทุกท่านเยี่ยมเยือนในอำเภอด่านซ้ายของพวกเราทุกเวลาค่ะ
//ไหว้
ขอบคุณคะ//ยิ้ม

☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆☆

ครับ เมื่อได้บทบรรยายมาแล้วก็นำไปให้ทั้งสามคน กำหนดบทบาทแล้วนำไปให้ท่องจำกันสำหรับค่ำคืนนี้ .....

ลุงบอกเจ้าแล้ว ว่า พวกเจ้าจะต้องหนักกว่าคนอื่นๆ...... เอาน่า ลุงหมีจะเอาใจช่วย

ผลจะออกมาเปนอย่างไร ยังไม่รู้แน่สำหรับค่ำคืนนี้

อรุณรุ่งพรุ่งนี้เช้าสินะ ที่จะได้รู้ว่า กุ้งฝอยสามหน่อนี้ จะเติบโตได้อีกหรือเปล่า........

ช่วงเวลาที่มีอยู่จำกัดจำเขี่ย
มันบีบคั้นหัวใจเสียเหลือเกิน.....ตื่นเต้นๆ

โปรดติดตามตอนต่อไป
แล้วพวกคุณจะหลงรัก กุ้งฝอยเหล่านี้
เหมือนผม

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:50 AM
คันปาก อยากเล่า#4 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #4

ตอนที่สี่.... คนเราถ้าขาดความหวัง ก็ไร้พลังจะเดินหน้าต่อไป
คนเราถ้าละทิ้งความฝัน ก็ไม่มีวันก้าวไปถึงจุดหมาย

ผ่านราตรีอันแสนสั้นไปแบบยังไม่ทันหายง่วงงุนจากการเดินทาง ..... รุ่งอรุณอันแสนสดใสกำลังแผ่ปกคลุม หุบเขาแห่ง อ.ด่านซ้าย

ผมออกมาเดินเล่น ชมนกชมไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ที่แทบจะไม่เคยได้สัมผัสในกรุงเทพฯ... ในรีสอร์ทเล็กๆที่ทีมคณาจารย์พามาพักใกล้ๆกับตัวอ.ด่านซ้าย เมื่อคืน ลูกกุ้งฝอยเกือบทั้งหมด นอนพักอยู่มี่ห้องพักสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ของวัดป่าเนรมิตวิปัสนา เพราะไม่อยากกลับบ้าน เตรียมตัวมาลั้นลากันเต็มที่ (...... แต่ผมก็ให้การบ้านเอาไว้แล้ว .....)
โดยมี..พี่เลี้ยงทั้งสี่ และอาจารย์หนึ่งท่านเสียสละเวลานอนอันมีค่า มาคอยเฝ้ากุ้งยามค่ำคืนอันวุ่นวายจากฝูงกุ้งฝอยในวัด...

เมื่อผมออกเดินทาง คณะของพวกเราไปแวะถ่สนเอกสารกันก่อน สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นบ้านไม้หลังเก่าริมถนนหลังนึง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว..สวยจับตา ผมจึงเดินไปดู มีป้ายสื่อความหมายเก่าๆรุ่ยๆ ของทางหน่วยงานราชการติดเอาไว้ มีเนื้อหาบอกเอาไว้ว่าเปนบ้านเลขที่หนึ่ง อ.ด่านซ้าย แต่สภาพ......ทรุดโทรมขาดการดูแล ใกล้จะพังเต็มทน เห็นแล้วน้ำตาจะไหล เสียดายที่หน่วยงานในด่านซ้ายละเลยในการดูแล

หลังจากถ่ายเอกสารเรียบร้อย คณะของพวกเราก็มุ่งหน้ามาจนถึงที่วัด ก็เหนเหล่ากุ้งฝอยกำลัวคร่ำเคร่งกับการเขียนการบ้านที่ให้ไว้เมื่อคืนลงสมุดที่มีแจกให้ เพราะต้องส่งให้ผมตรวจ

¤¤¤¤ หลักการสอนเด็กๆของผม ผมถือหัวใจนักปราชญ์ "สุ จิ ปุ ลิ"

สุ ย่อมาจาก สุตตะ แปลว่าการฟัง

จิ ย่อมาจาก จิตตะ แปลว่า การคิด

ปุ ย่อมาจาก ปุจฉา แปลว่า การถาม

ลิ ย่อมาจาก ลิขิต แปลว่า การเขียน

"ฟังอะไรฟังให้หมด จดให้มาก ปากต้องใช้ ใจต้องคิด จึงจะเป็นบัณฑิต(นักปราชญ์)ที่แท้จริง" เปนขั้นตอนการเริ่มเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด เพราะจะทำให้เด็กๆเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ เข้าไปเปนส่วนหนึ่งในชีวิตอย่างมีความเข้าอกเข้าใจ ¤¤¤¤

เมื่อได้ตรวจการบ้านของเด็กๆ ก็ทำให้ผมเข้าใจพื้นฐานของเด็กๆที่มีอยู่พอสมควร สำหรับวันนี้ เปนวันที่สอง จะเปนวันที่เด็กๆ จะต้องเยนภาษาอังกฤษทั้งวัน ซึ่งจะทำให้ผมมีเวลาออกไปแรดได้ล่ะ
คิวการแรดของผมไม่มีอะไรมาก ก็ไปตามวัดตามวาที่จะมีการจัดประเพณีบุญหลวงและการเล่นผีตาโขนอีกสามวัดเพื่อไปให้เห็นสถานที่จริง และสามารถทำบทบรรยายที่ใช้ได้จริงให้กับกุ้งฝอยตัวน้อยที่จะต้องไปประจำอยู่ที่วัดเหล่านี้ หลังงานใหญ่ที่อ.ด่านซ้าย
ได้แก่
1.วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ ที่นี่น่าสนใจมาก เพราะชุมชนบ้านนาหอ เปนชุมชนจุดกำเนิดชุมชนแรกในอ.ด่านซ้าย เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงเปนแหล่งรวมความเปนด่านซ้ายยุคดั้งเดิม ปรากฏอยู่
2.วัดโพธิศรีนาเวียง
3.วัดศรีสะอาด

สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ ผมยังไม่ได้ไปไหน เพราะอยากอยู่ดูเพื่อวิเคราะห์ทักษะความสามารถภาษาอังกฤษก่อน
สิ่งที่ผมได้เห็นได้ฟัง ทำให้ผมอึ้งและทึ่งในทักษะของเด็กๆกลุ่มนี้พอสมควรเลยทีเดียว เพราะสามารถฟังรู้ความ พูดโต้ตอบกับอาจารย์ชาวต่างประเทศที่มาสอนให้ได้ เก่งกว่าผมเยอะเลย..!!

ตกบ่าย ผมกับอาจารย์อีกสองท่านก็เดินทางมาลงพื้นที่ พบว่าอีกสามวัดที่เหลือ ทุกวัดมีเอกลักษณ์และจุดขายของตนเอง..... มีอะไรๆให้นำเสนอเยอะแยะมากมาย

ไม่ทันจะเย็น ก็มีโทรศัพท์จากที่วัดมาตามพวกเรากลับวัดเพราะ อ.ฝรั่งสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว...

พวกเราจึงรีบเดินทางกลับไปที่วัด แล้วผมก็รับไม้ต่อจากอ.ฝรั่ง สอนการเขียนบทบรรยายต่อ เพื่อให้เวลา อาจารย์ จากน่าน เตรียมสถานที่สำหรับ สถานการณ์จำลอง การนำเที่ยวใน
สถานที่จริง โดย ยุวมัคคุเทศก์จากวัดภูมินทร์ทั้งสามคน
เพื่อให้ เหล่ากุ้งฝอยทั้งหลายเห็นภาพการทำงานของตนเองในอนาคตได้ชัดเจนขึ้น

เมื่อได้เวลา... ยุวมัคคุเทศก์น้อยตัวเท่าขี้เมี่ยงทั้งสามคน ก็แสดงศักยภาพและความสามารถที่มีเกินตัวเกินอายุให้พวกเราได้เห็นกันอีกครั้ง ซึ่งผมไม่มั่นใจในตอนนั้นเลยว่า จะเปนการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆที่เหลือ หรือ ทำลายความมั่นใจกันแน่ แต่........พอได้เห็นแววตากุ้งฝอยแล้ว ผมไม่เหนความมั่นใจของเด็กๆถูกทำลายลงไปเลยสักนิด....แต่กลับเห็นประกายความมุ่งมั่นของทุกคนฉายออกมาในแววตา. เหมือนได้เห็นภาพของตัวเองได้ทำหน้าที่ มัคคุเทศก์น้อย อ.ด่านซ้าย ในอนาคต!!!

ยามค่ำคืน....หลังจากเสร็จภารกิจประจำวัน รถตู้ทีมงานก็พาพวกเราไปแวะร้านสะดวกซื้อ เพื่อหาเสบียง....ยามดึก เพื่อประทังความหิวก่อนนอน...สักสองสามอย่าง

บนเตียงนอนอ่อนนุ่มเดียวด่ย ผมนึกถึงภาพวันสุดท้ายของการอบรมในวันพรุ่ง รุ่งอรุณ.....

ภาพของเด็กแต่ละกลุ่มที่ต้องออกไปพิสูจน์ตนเอง กับการเรียนรู้สองวันที่ผ่านมา......ว่า......

ก้าวแรก.....ของความเปน มัคคุเทศก์น้อย...จะพาพวกเขาไปได้ไกลเพียงใด... จุดหมายที่แต่ละคนได้ตั้งเอาไว้ กุ้งฝอยเหล่านี้ จะไปถึงหรือไม่..???

โปรดติดตามตอนต่อไป...

แล้วคุณจะได้เห็นความน่ารักของกุ้งฝอยของผม และตกหลุมรักกุ้งฝอยแบบเดียวกับผม

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:51 AM
คันปาก อยากเล่า#5 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #5

ตอนที่ห้า.... Learning By Doing... ทฤษฎีเปนเพียงเครื่องมือชี้นำทาง ทฤษฎีจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อ ได้นำไปลงมือปฏิบัติ ด้วย...หัวใจ

อรุณรุ่งกลับมาเยือนอีกครั้ง เมื่อนาฬิกาบอกเวลาที่หมายเลขห้ากว่าๆ
หากแต่ท้องฟ้ากลับเริ่มมีแสงเรือง สีทอง จับบนปุยเมฆที่เกาะกุมอยู่บนภูเขาที่โอบล้อมเมืองด่านซ้าย เมืองเล็กๆที่มีเสน่ห์ล้ำลึกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางรอยต่อระหว่างภาคอีสานและภาคกลางตอนบน

เช้าวันนี้ผมเดินทางไปที่วัดด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ เพราะยังไม่มีความมั่นใจ ในตัวกุ้งฝอยส่วนใหญ่ ที่ยังไม่สามารถบรรยาย ตามบทที่กำหนดได้
แต่วันนี้ ทุกคนต้องลงพื้นที่ ตามกำหนดของงานวิจัย ที่กำหนดมาล่วงหน้าแล้วว่า ใครจะต้องบรรยายที่ไหนเปนหลักของตนเอง

เช้านี้ผมเริ่มจากการให้แต่ละกลุ่มที่ถูกแบ่งเอาไว้เมื่อวานตามพื้นที่บรรยาย ได้แยกย้ายกันไปแล้วนำเอาบทบรรยายทร่แต่ละคนไปเรียบเรียงมาใหม่ โดยใช้บทบรรยายที่จัดทำให้เปนข้อมูลหลักแล้วย่อ และเขียนเปนสำนวนของตนเอง เมื่อยามค่ำคืนที่ผ่านมา เอามาท่องจำ
เปนขั้นตอนที่สอง......ต่อจากการทำบทบรรยายของตนเอง

¤¤¤¤ การบรรยายสถานที่ท่องเที่ยว ที่ผมให้โจทย์กับเด็กๆไป มีหลักการเขียนบทบรรยายง่ายๆ ห้าหัวข้อบรรยาย ก็คือ
1.มันคืออะไร???
2.ใครสร้าง???
3.สร้างทำไม???
4.สร้างเมื่อไหร่???
และ 5.นำชมความงาม
ซึ่งหลักการนี้ใช้ในการบรรยายสถานที่ท่องเที่ยวได้ทั่วโลก ใครจะนำไปใช้ผมก็ไม่หวงไม่ห้ามนะครับ ¤¤¤¤

เมื่อผมเดินไปฟังแต่ละกลุ่ม ยิ่งทำให้กลุ้มหนักเข้าไปอีก.... ด้วยความเปนเด็ก ทำให้ส่วนใหญ่ของกลุ่ม ยังไม่สามารถเข้าใจ ในระบบการเตรียมตัว เพื่อบรรยายในสถานที่ท่องเที่ยวีทำให้ยังเขียนบทบรรยายไม่ได้ดีนัก แต่ก็นะ.... เวลามีแค่นี้ เด็กๆทำได้ดีมากแล้วล่ะ......ผมปลอบใจตัวเองเบาๆ

หลังจากให้ทุกคนได้ลองอ่านบทบรรยายของตัวเองในรอบแรกแล้ว ผมก็ลองให้บรรยายแบบไม่ต้องดูโพยบ้าง....คราวนี้ปวดหัวหนักเลย ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมจะลงพื้นที่จริงๆ ซึ่งถ้าลงพื้นที่ด้วยความไม่พร้อม เด็กๆอาจสูญเสียความมั่นใจที่มีได้

แต่... เมื่อถามเด็กๆว่าพร้อมมั้ยๆ เด็กๆก็บอกว่า พร้อมคร้าบ พร้อมค่า.....
งั้นลุยกันเลย........

ผมพาเด็กๆ ในความรับผิดชอบไปที่วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ เมื่อไปถึง ผมก็แสดงวิธีการบรรยายให้เด็กๆดูก่อน โดยพาเดินบรรยาย...แล้วจึงให้เด็กๆ บรรยายตามสคริปของตัวเองอีกครั้ง
แต่ไม่ทันจะได้บรรยายจนครบคน ปรากฏว่าพระพิรุณกลับไม่เปนใจ โปรยปรายสายฝนลงมาซะชุ่มฉ่ำ
พวกเราทั้งคณะจึงต้องระเห็ดย้ายไปอยู่บนศาลา ... แล้วเริ่มต้นท่องบทบรรยายกันอีกครั้ง

ระหว่างนี้ บรรดาผู้ใหญ่ผู้เฒ่าบ้านนาหอก็เริ่มมารวมตัวกันบนศาลา ผมจึงกำหนดบทบาทของผู้เฒ่าผู้ใหญาในหมู่บ้าน ให้เตรียมตัวต้อนรับแขกผู้มาเยือนในฐานะ "ปราชญ์ชาวบ้าน" ที่จะมาเล่าเรื่องราวต่างๆ มากกว่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่น ซึ่งผมกำหนดให้เปนหน้าที่ของเด็กๆที่ได้รับการฝึกอบรมทำได้ดีกว่า

กว่าหนึ่งชม.ที่ผมและเด็กๆ ได้ฟังตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านนาหอ ประเพณีต่างๆในหมู่บ้านที่มีมาแต่โบราณ รวมถึงประเพณีบุญผะเวดและการละเล่นผีตาโขนด้วย ทำให้เห็นภาพวิวัฒนาการของการละเล่นผีตาโขนได้ชัดเจนมาขึ้น

เมื่อได้เวลาที่นัดหมายกันเอาไว้ ผมกับเด็กๆ จึงเดินทางกลับไปที่วัดป่าเนรมิตวิปัสนาอีกครั้ง

เมื่อถึงที่วัด สิ่งปรกที่ทำคือสอบถามอาจารย์และพี่เลี้ยงแต่ละท่านว่าเด็กๆ เปนอย่างไรบ้าง
คำตอบที่ได้รับ ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาเพราะ....ทุกคนบอกว่า เด็กๆทำได้ดี...แม้อาจจะมีพลาดพลั้งบ้าง
อาทิ เช่น
ตื่นเต้นจนแนะนำตัวว่า "สวัสดีค่ะ หนูเปนมัคทายกน้อย ด่านซ้ายค่ะ...แป่วววว!!!!"
หรือ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวว่า "ที่นี่คือ พยาธิศรีสองรัก....ค่ะ".....แป่ววแหว่วว!!!

เรียกร้อยยิ้มและเสียงเฮฮาได้ลั่นศาลาเลยทีเดียว

หลังจากนั้นผมและอาจารย์รวมถึงพี่เลี้ยง ก็สรุปเนื้อหาและการฝึกในวันนี้ให้กับเด็กๆ ได้ทราบจุดบกพร่องและให้คำแนะนำ พร้อมฝากให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายในชุมชนที่เข้าร่วมการอบรมครั้งนี้ ช่วยติดตามให้ เด็กๆมาฝึกบรรยาย กันอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องกับโครงการของทาง มรภ.เลย ที่จะต้องจัดกิจกรรม ต่อเนื่องไปอีกหลายครั้งกว่าจะถึงงานใหญ่ของ อ.ด่านซ้าย....ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
ซึ่งผมเองยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า....จะเปนเช่นไร....

สุดท้ายก่อนออกเดินทางจากมา ผมเรียก "สามแซร่บ" ที่เลือกมาเพื่อเปนตัวแทนของกลุ่มที่จะขึ้นโชว์งานใหญ่ มาคุยกันเพื่อตกลงสร้างความเข้าใจให้ตรงกันถึง "ภาระ" ที่จะต้องแบกต่อไปอีกหนึ่งเดือน......
คำพูดของสามแซร่บ ที่ทำให้ผมจากมาแบบมีความหวัง ก็คือ....หนูทำได้ หนูจะพยายาม!!!!

....เยนย่ำวันนั้น ผมเดินทางจาก อ.ด่านซ้าย มาพร้อมกับคณาจารย์ จาก มรภ.เลย ด้วยหัวใจเปรมสุขยิ่ง กับพัฒนาการที่ดีของเด็กๆในช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังคงคลุกเคล้าความกังวลอยู่ในใจ เพราะเวลาอีกหนึ่งเดือนที่เหลือ ไม่รู้ว่าจะพอหรือไม่ สำหรับ "ลูกกุ้งฝอย" ของผม ที่จะเติบโตเปน "กุ้งมังกร" ได้หรือไม่???

หน้าที่ของผม ตามโครงสร้างงานวิจัย จบลงตรงนี้.....

แต่หน้าที่ของครู ที่ต้องการเหนศิษย์ เจริญเติบโตไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ความสามารถของพวกเขาจะผลักดันตนเองไปได้ เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น....
และ.........ตราบใด ที่ยังไม่เหนความสำเร็จของศิษย์ ครูก็มิอาจละทิ้งพวกเจ้าไปได้.....

ปล.คันปากอยากเล่า...... ยังไม่จบนะครับ...

โปรดติดตามตอนต่อไป
มาร่วมเดินเคียงข้าง ดู "ลูกกุ้งฝอย" เจริญเติบโตไปเปน "กุ้งมังกร" พร้อมๆกับผม
แล้วพวกคุณจะหลงรักพวกเขาเหล่านั้นแน่นอน

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:51 AM
คันปาก อยากเล่า#6 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #6

ตอนที่หก... ทำอะไรก็ได้ ทำสิ่งที่ใจอยากให้ทำ....ถ้าสิ่งนั้น เปนสิ่งที่ดี
การไม่ยอมแพ้....คือ การเปิดประตูสู่ชัยชนะและปิดประตู.....แพ้!!!

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการการอบรมสั้นๆ ผมมีความจำเปนต้องออกเดินทาง เพื่อนำพาสมาชิกไปเปิดหูเปิดตาและ...เปิดใจ ณ แดนไกล สองทริปติดๆกัน ดีแต่ว่า เปนทริปที่เริ่มต้นจาก จ.อุดรธานี ไม่ได้ไกลจาก จ.เลยมากนัก มีรถป.2 อุดรธานี-พิษณุโลก(ผ่านอ.ด่านซ้าย) วิ่งอยู่

ครับหลังจากปิดทริป อุดร-เวียดนาม เรียบร้อย ก็พอดีกันกับวันที่ทางโครงการนัด เด็กๆและผู้ใหญ่ในแต่ละชุมชน มาติดตามความก้าวหน้ากัน.....

ก่อนหน้าวันเดินทางผมพยายามหาข้อมูลรถบัสที่สามารถนำพาผมจากอุดรธานีไปถึงอ.ด่านซ้ายเพื่อเดินทางทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากกลับจากเวียดนามแล้ว
ผมได้น้องสาวคนนึง ซึ่งรู้จักกันทางอินเตอร์เนต มาราวสิบห้าปี ซึ่งตอนนี้ ทำงานอยู่ที่ จ.อุดรธานี ช่วยอำนวยความสะดวก พาผมออกมาที่สถานีขนส่งแห่งใหม่ นอกเมืองอุดร ตั้งแต่เช้ามืด แต่ปรากฏว่า..รถมีตอนแปดโมงหเช้า ผมก็เลยชวนน้องไปกิน "ข้าวเปียกเส้นกับไข่กะทะ" ที่ร้านหมวกแดง ริมหนองประจักษ์ซะอิ่มแปล้ก่อนเดินทาง หลังจากนั้นก็พาสารร่างอันอิดโรย มานั่งรถ ป.2 อุดรธานี-พิษณุโลก มุ่งหน้า อ.ด่านซ้าย....จ.เลยทันที

กว่าสี่ชม.กับการหลับและความวุ่นวายเรื่องที่นั่งบนรถป.2 ในที่สุดผมก็มายืนอยู่ที่แยกบ้านเดิ่น อ.ด่านซ้าย อาจารย์ส่งรถตู้คู่ใจ มารับเข้าไปที่หอประชุมที่เด็กๆใช้ในการติดตามความก้าวหน้า ในวันนี้.....

เมื่อขึ้นไปถึงห้องประชุม ผมก็พบว่า ทั้งเด็กและผญ กำลังหน้าดำคร่ำเคร่งกับการท่องบท ที่ได้รับการปรับปรุง เพิ่มเติมจากคณาจารย์ มรภ.เลยอยู่ แต่ช่วงนั้นกำลังจะเปนช่วงพักเที่ยงพอดี ก็เลยพอดีเวลากับการกินข้าวกล่อง ล้อมวงกัน

กุ้งฝอยสามตัวจี๊ดก็มานั่งกินข้าวอยู่กับผม ผมก็ถามความก้าวหน้าทั้งในส่วนพื้นที่รับผิดชอบและสคริปส่วนตัวทีาให้ไปท่อง สามกุ้งฝอยบอกสบายมาก พอกินข้าวเสร็จ ผมจึงพาสามกุ้งฝอยแยกตัวออกมา เท่าที่เวลาพักเที่ยงจะเหลืออยู่ ให้ทั้งสามคน แสดงการบรรยายให้ดู ซึ่งแม้ทั้งสามจะมั่นใจมากแต่ก็ตื่นเต้นจนจำผิดจำถูกอยู่บ้างเล็กน้อย ทำให้ผมกังวลขึ้นมาอีกหนึ่งประเด็นคือ เรื่องความตื่นเวที ที่จะต้องเตรียมให้พร้อมม
ผมก็ค่อยๆ สอนและเพิ่มเทคนิคการบรรยายให้ทั้งสามคน ค่อยๆปรับปรุง เปลี่ยนแปลง จนดูเปนธรรมชาติมากขึ้น!!!

เมื่อหมดเวลาพัก ผมก็กลับเข้าไปยังห้องประชุมเพื่อช่วยดูเด็กๆในกลุ่มวัดศรีภูมิ บ้านนาหอ ซึ่งมีกุ้งฝอยตัวตัวโต เพียงคนเดียว ที่พอเหนแววว่าจะไปได้รอดแน่นอน จึงต้องรับภาระหนักเรื่องข้อมูลไปเต็มๆ แต่อีกสี่คนที่เหลือเปนเด็กน้อยป.ห้า ที่ยังไม่ค่อยพร้อมนัก

เมื่อได้เวลาที่กำหนดไว้ ทุกกลุ่มก็ออกมาบรรยาย ทีละกลุ่มๆ เริ่มจาก กุ้งฝอยสามจี๊ด ที่ทำได้ดีตามที่หวังไว้
พอมาถึงกลุ่ม วัดศรีภูมิ บ้านนาหอ เด็กทั้งสี่ก็ออกไปแบบไม่เต็มใจมากนักเพราะยังจำบทบรรยายใหม่ไม่ค่อยได้ (อันนี้เข้าใจได้เพราะ เปลี่ยนกระทันหัน) เด็กทั้งสี่คน หญิงสาม ชายหนึ่ง(ตัวเล็กสุด เด็กที่สุด) ออกไปยืนเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาจนในที่สุด ต้องฟันธงให้ "น้องเอิร์ท" เด็กชายคนเดียวในกลุ่มเปนคนเริ่มก่อน เอิร์ทก็เริ่มแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่แต่สีหน้าและแววตานั้น ยังคงสู้ไม่ถอย พอน้องเอิร์ทเริ่ม สายจาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่ความน่ารักในวัยเด็กและน้ำเสียงแจ๋วๆชัดถ้อยชัดคำในการแนะนำตัว.....หลังจากการแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อย เสียงน้องเอิร์ทก็สะดุดลง เงียบไปชั่วนาที น้องเอิร์ทก็ร้องไห้โฮออกมาพร้อมกับประโยคที่ว่า "หนูจำสคริปไม่ได้".......
ทุกคนในห้องหัวเราะออกมาเบาๆและตะโกนให้กำลังใจ หนุ่มน้อยกัน
เต็มที่
ผมจึงเรียกน้องเอิร์ท เข้ามาเอาโพยออกไปถืออ่าน แต่ก้อนสะอื้นเจ้ากรรม ที่มาพร้อมกับเสียงร้องไห้เมื่อกี้ หลับไม่ยอมจางหายไป
ผมเองก็คาดผิดไปถนัด คิดว่า เจ้าเร์ท พอร้องไห้แล้วจะไปต่อไม่ได้ แต่.....เจ้ากุ้งฝอยน้อย ก็แสดงให้พี่ป้าน้าอาในห้องประชุมได้เห็นว่า
"หัวใจ" ที่ "ไม่เคยยอมแพ้" เปนเช่นไร

น้องเอิร์ทพยายามอ่านโพยสลับก้อนสะอื้น ท่ามกลางกำลังใจในความเงียบ เพราะทุกคนช่วยกันลุ้นว่า...น้องเอิร์ทจะทำสำเร็จหรือไม่ สลับกับเสียงหัวเราะเมื่อยามก้อนสะอื้น มาทำให้น้องเอิร์ทเสียจังหวะจะโคนในการบรรยาย จนเจ้าตัวก็รู้สึกเขินจนหัวเราะออกมาเอง ทำให้ทั้งห้องอดหัวเราะตามไม่ได้

ที่สุดแล้ว...ผู้ใหญ่บ้านบ้านนาหอ อดรนทนไม่ไหว จึงออกไปยืนให้กำลังใจข้างๆ ด้านหน้าห้องประชุมเลยทีเดียว

และทันที ที่เสียง "ขอบคุณและสวัสดีครับ" ของน้องเอิร์ทจบลง
เสียงปรบมือและโห่ร้อง ด้วยความชื่นชมใน "หัวใจนักสู้" ของเอิร์ทก็ดังลั่นห้องประชุม อ.ด่านซ้ายจนลั่นออกมานอกห้องประชุม

¤¤¤¤ มาทราบในภายหลัง มีคนไปถามน้องเอิร์ทว่า ทำไมถึงไม่ยอมแพ้ แล้วหยุดบรรยาย
น้องเอิร์ทตอบว่า.....ผมอยากเปนมัคคุเทศก์น้อยครับ
ได้ยินแค่นี้ก็ชื่นใจแล้วครับ .....
บอกได้คำเดียว.......หายเหนื่อย ¤¤¤¤

ผมได้เห็นความตั้งใจและพยายามของลูกกุ้งฝอยกลุ่มนี้ ทำให้ตั้งใจกับตัวเองเอาไว้ว่า...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องทำให้เด็กน้อยกลุ่มนี้ได้แสดงความสามารถให้เปนที่รู้จักให้ได้

หลังจากนั้นก็เปนคิวของ "น้องทราย" พี่คนโตที่รับผิดชอบการบรรยายวัดศรีภูมิ บ้านนาหอ ซึ่งก็ทำได้ดี ไม่ผิดหวังเลย มีแต่เจ้าสี่ตัวเล็กนี่สิ จะหมู่หรือจ่า จะออกหัวหรือออกก้อย ก็ต้องลุ้นกันต่อไป..

หลังจากนี้ จะมีการนัดเด็กๆ มาติดตามความก้าวหน้าอีกครั้ง แต่ผมไม่อยู่ จึงขอให้คณาจารย์ อัดวิดีโอเอาไว้ให้ดู....
ส่วน สามจี๊ด มีการบ้าน ที่ต้องทำส่งกันทางอินเตอร์เนตอยู่เรื่อยๆ..
ยามย่ำค่ำ ครั้งแรกตั้งใจจะออกเดินทางจากด่านซ้าย กลับ กทม ทันที แต่ก็ถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับมาขึ้นรถที่เมืองเลย.....
ระหว่างทางก็แอบคิด มโนไปเองถึงความสำเร็จของลูกกุ้งฝอย ในงานบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนที่เหลือเวลาเตรียมตัวไม่ถึงเดือนแล้ว......

แต่ใครจะไปรู้..... ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จนเกือบทำให้ "กุ้งฝอย" ไม่ได้โตเปน "กุ้งมังกร" เสียแล้ว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืออะไร เกิดกับใคร เกิดเมื่อไหร่ และผลลัพท์เปนอย่างไร....????

โปรดติดตามตอนต่อไป...

ผมคาดว่า ตอนนี้หลายๆคน คงเริ่มรู้สึกหลงรัก "กุ้งฝอย" ของผม..ขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:52 AM
คันปาก อยากเล่า#7 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #7

ตอนที่ เจ็ด ... ความตั้งใจ ความอดทน ความพยายาม มุ่งสู่จุดหมาย....คือ หนทางสู่การเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแรง........

หลังจากที่ผมต้องจากลา.......พวกลูกกุ้งฝอยมา ในคราวที่แล้ว เมื่อได้กลับไปเยือนหลังจากสองสัปดาห์แห่งการอบรมผ่านไป.......
ความกังวลใจก็ยังเกาะกินอยู่...มิจืดจางหายไป

ผมยังคงติดตามความเคลื่อนไหวและความก้าวหน้าของเด็กๆเปนระยะๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย......
ซึ่งสามตัวจี๊ดจะต้องเขียนบทบรรยายอันใหม่ที่ผมส่งไปให้ โดยปรับปรุงสำนวนตามภาษาของพวกเขาเอง
รวมถึงพี่คนโตแห่งวัดศรีภูมิ บ้านนาหอด้วย ที่ต้องเขียนบทบรรยายของตัวเองมาส่ง

¤¤¤¤ คนนี้ได้รับการคัดเลือกมาเปนหนึ่งในสามทีมของทีมสำรองด้วย งานก็จะหนักนิดนึง ท่องหลายบทบรรยาย แต่ก็สามารถทำได้ดี อย่างน่าประทับใจ ¤¤¤¤

อยู่มาวันนึงราวเกือบๆต้นเดือนมิถุนายน อีกราวสองสัปดาห์กว่าๆ งานใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น...

ผมเห็นหนึ่งในสามกุ้งฝอยตัวจี๊ด โพสสเตตัส เฟสบุ๊คมาในเวลาเรียน...ว่า อยู่ที่ โรงพยาบาล ด่านซ้าย.....
ผมรีบพิมพ์ถามไปว่า เปนอะไร ทำไมถึงไปโรงพยาบาล
คำตอบคือ "หนูไม่ได้เปนอะไรค่ะ แต่...........โดนตัวต่อรุมต่อยหลายตัว จนสลบไป ตอนนี พามาโรงพยาบาล แล้วค่ะ ปลอดภัยแล้วค่ะเดี๋ยวจะอัพเดทให้ทราบเรื่อยๆนะคะ"

เฮ้ย!!!! ตายล่ะหว่า เอายังไงดี ถ้าโดนต่อยจนสลบแบบนี้ ไม่น่าจะหายทันงานแน่ ผมคิดอยู่ในใจ

แล้วผมก็เลยติดต่อ....อาจารย์ จากมรภ.เลย ซึ่งทราบเรื่องแล้วเช่นกัน ว่าจะทำอย่างไรดี แบบนี้ ตัวหลักในการบรรยายโชว์บนเวที
เดี้ยงไปหนึ่ง
สุดท้าย....... เราจึงตัดสินใจที่จะหาเด็กอีกสามคน ดึงมาจากกลุ่มต่างๆ ที่อบรมด้วยกัน
มาสร้างทีมสำรองขึ้นมาอีกทีม แล้วให้ซ้อมบทบรรยายเดียวกันกับทีมแรก ทันที

¤¤¤¤¤ เปนที่แปลกใจของเพื่อนและครูในรร. ว่า เช้าวันรุ่งขึ้น กุ้งฝอยของผม ที่โดนตัวต่อต่อยจนสลบ มาเรียนตามปกติเหมือนไม่ได้เกิดอะไรขึ้น.. ¤¤¤¤¤

หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็ซ้อม อยู่ด้วยกัน ในจุดมุ่งหมาย ที่ผมตั้งใจไว้ว่า หากคนนึงป่วยอีกคนที่บรรยายบทเดียวกันต้องแทนกันได้ รวมถึงกลุ่มอื่นๆทีรับผิดชอบที่วัดอีกสามวัดด้วย มีเวลาอีกราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ อาจารย์ จาก มรภ. จะนัดประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าอีกครั้งนึง.......

ผมยังติดงานทีรับไว้อีกสองสามงานก็จะได้กลับไปที่ด่านซ้ายอีกครั้ง เพื่อติดตามความก้าวหน้า หลังจากที่ไปเปนวิทยากรที่ ภูป่าเปาะ อ.หนองหิน จ.เลย....เรียบร้อยแล้ว(ไว้ว่างแล้ว จะมาเหลาให้ควัง)

หลังจากนั้นราวหนึ่งสัปดาห์ อาจารย์ จากมรภ.เลยก็นัดเด็กๆมาประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าอีกครั้ง ในครั้งนี้ผมไม่ว่าง ติดงาน เลยไม่ได้ไป อาจารย์จึงอัดวิดีโอมาให้ดู แต่ยังไม่ได้ดู.......มาได้ดูตอนไปภูป่าเปาะ
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็เล่าเรื่อง การบรรยายของเหล่ากุ้งฝอยว่า......มีพัฒนาการจากเดิมมาก...... บทเป๊ะ การบรรยายเป๊ะ!!!

ที่สำคัญ........ อาจารย์ได้เล่าถึงกลุ่มกุ้งฝอยน้อยวัดศรีภูมิ ที่ในครั้งที่แล้ว ไม่สามารถบรรยายข้อมูลได้เลยสักคน......
มาวันนี้......ทุกคนเดินออกมาหน้าห้องด้วยความมั่นใจโดยเฉพาะ "น้องเอิร์ท" ที่เดินออกมาหน้าห้องในแบบที่ทางอาจารย์ บรรยายให้ฟังว่า

"สีหน้าอิ่มเอม กระหยิ้มยิ้มย่องแบบซ่อนความนัยเอาไว้
........ แถมด้วยร้อยยิ้มแบบเฉพาะตัว... โปรยยิ้มมาตลอดทาง"

ทั้งสี่กุ้งฝอยเดินออกมาหน้าห้องด้วยความมั่นใจในตัวเองเต็มที่
แล้ว....สี่กุ้งฝอยน้อย แห่งวัดศรีภูมิ บ้านนาหอก็ได้แสดงให้พี่ๆและครูอาจารย์ รวมถึงผู้ใหญ่ในห้องประชุมได้เห็นถึงศักยภาพของเด็กตัวเล็กๆในชุมชนเล็กๆ ในประเทศไทย ว่า สามารถทำได้ดีไม่แพ้พี่ๆในกลุ่มอื่นนๆเช่นเดียวกัน

.... บทเป๊ะ คิวเป๊ะ ....

ด้วยความร่วมมือร่วมใจของผู้ใหญ่(ในหมู่)บ้าน ที่ขอร้องแกมบังคับให้เด็กน้อยทุกคนซ้อมบรรยาย 3-4 วันต่อสัปดาห์ ในช่วงหลังเลิกเรียน ก่อนหน้านี้

แค่ได้ฟังก็รู้สึกว่า ตอนนี้ ระยะทางสู่จุดหมายในการถ่ายทอดครั้งนี้เดินทางมาไกลกว่าครึ่งทางแล้ว

ก่อนหน้างานใหญ่ราวหนึ่งสัปดาห์ ผมจะมีโอกาส มาพบกับลูกกุ้งฝอยอีกครั้ง.......

ได้แต่นับวัน.....รอ
รอเห็น "กุ้งฝอย" เติบโตเปน...."กุ้งมังกร"

แม้กุ้งฝอยจะเติบโตเปนกุ้งมังกรในเวลาอีกไม่ช้า แต่เชื่อผมเถอะว่า คุณจะหลงรักเด็กกลุ่มนี้ เหมือนผม

โปรดติดตามตอนต่อไป

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:53 AM
คันปาก อยากเล่า#8 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #8

ตอนที่ แปด ... "พรสวรรค์" หาได้มีความสำคัญมากกว่า "พรแสวง" ไม่!!!!
"ทักษะ" เกิดจาก "การฝึกฝน" เช่นใด
"ความสามารถ" ก็ย่อมสร้างได้จาก "ความใฝ่รู้และความขยัน" เฉกเช่นเดียวกัน


หลังจากได้รับข่าวจาก อาจารย์มรภ.เลย เรื่องพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ผมก็นับวันถอยหลังรอ ...... รอที่จะได้เจอ กุ้งฝอยทั้งหลาย ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นเวทีใหญ่ในงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนประจำปี 2557

แต่ก่อนจะได้ไปเจอเด็กๆที่น่ารักทั้งหลาย.....ผมมีภารกิจที่จะต้องขึ้นไปเปนวิทยากร อบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่บ้านผาหวาย อ.หนองหิน จ.เลย เพื่อนำชม "ภูป่าเปาะ" ฟูจิเมืองเลย....
ถ้าถามผมว่ามันอยู่ที่ไหน ผมตอบได้ว่าอยู่อ.หนองหิน จ.เลย ใกล้กับ "สวนหินผางาม" คุณหมิงเมืองเลย นั่นแหล่ะครับ

ผมมีภารกิจอยู่ที่นี่ สามวัน เสร็จแล้วก็จะไปด่านซ้ายเพื่อพบปะกับลูกกุ้งฝอย อีกครั้ง

สามวันสองคืนที่ภูป่าเปาะ ผ่านไปไวเหมือนในภาพยนต์ ความน่ารักของเด็กๆที่เข้ามาอบรม ความใจดีและเปนกันเองของผู้ใหญ่ที่มาเข้าร่วมโครงการ ทำให้บรรยากาศการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการนำเที่ยวเปนไปด้วยความสนุกสนาน และ สบายๆ

หลังจากปิดการอบรมแล้ว วันรุ่งขึ้นผมก็ออกเดินทางจาก อ.เมือง เลยไปยัง อ.ด่านซ้าย ในช่วงสายๆทันที ที่ไม่รีบ ก็เพราะ ต้องรอเด็กๆเลิกเรียนเสียก่อน...

รถกะบะของพวกเราค่อยๆแล่นปีนความสูงของภูเรือ.....ขึ้นมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งผ่านอ.ภูเรือมาเข้าสู่อ.ด่านซ้าย......
แม้เราจะออกมาช้า แต่พวกเราก็มาถึงอ.ด่านซ้าย เร็วกว่าที่คิดอยู่ดี.......
พวกเราจึงชวนกันไปหาของอร่อยกิน(ทั้งๆที่เพิ่งกินมาจากเมืองเลยนี่แหล่ะ

มติของคณะพวกเราที่เดินทางมาด้วยกัน ลงตัวที่ "ร้านส้มตำป้าคิตตี้" ขนมจีนเส้นสด บีบตรงนั้น ราดน้ำยากินเดี๋ยวนั้น ราดน้ำยาได้หลายรอบแบบไม่อั้นแบบต่างหาก นอกจากขนมจีน ของอร่อยอีกอย่างก็คือ......ตำซั่วไทย.
ขอบอกว่า ...... มันนัวคักๆ มันแซร่บอีหลี!!!
แถมระหว่างการกินยังมีข้าวโพดต้มมาขาย ก็ซื้อมาชิมกันอีก โฮยยย!!!! อืด!!!!

หลังจากพุงกางได้ที่ ก็ได้เวลานัดหมายกับกุ้งฝอยพอดี พวกเราก็เลยมารอที่สนามหญ้าที่วัดโพนชัย.....

เหล่าๆกุ้งฝอย.... ก็ค่อยๆทยอยมา...ทีละคนสองคน จนบางทีมเริ่มมาครบ ผมก็เรียกมา บรรยายให้ผมฟังทีละทีมๆ แต่ละทีม ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังเลย ไม่ได้เจอกัน มาหลายวัน เด็กๆทำให้ผมทึ่งกับความสามารถ ที่พัฒนาขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่าที่มี

ผมทำการปรับคำบรรยายบางคำที่ไม่สระสรวย รวมถึงบุคคลิกภาพในการบรรยาย โดยเฉพาะ กุ้งฝอยตัวจี๊ดทั้งหกคน เปนทีมหลักหนึ่งทีม และเปนทีมสำรองหนึ่งทีม ที่โดนผมเคี่ยวอย่างหนักพอสมควรแต่กลุ่มที่ผมไม่ได้ปรับท่าทางหรือเทคนิคการบรรยายเลยก็คือ...หลุ่มของน้องเอิร์ท ด้วยเหตุผลสองประการคือ
หนึ่ง ยังเด็กนัก หากปรับอะไรไปตอนนี้ จำไม่ได้หรอก แถมที่ท่องจำมาแล้วก็จะรวนเสียอีกด้วย.
สอง ความน่ารักในวัยเด็กของกลุ่มนี้ เปนเสน่ห์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว

แสงอาทิตย์ค่อยๆโรยลง....จนแสงสว่างรอบๆวัดเริ่มสลัวลงเรื่อยๆ ผมค่อยๆปล่อยเด็กน้อย เดินทางกลับบ้าน ทีละกลุ่ม จนกลับไปครบทุกคน

พวกเราจึงรีบเดินทางกลับมายังเมืองเลย รีบไปส่งผมขึ้นรถกลับกรุงเทพ เพื่อทำงานใหญ่ระดับชาติ อีกเจ็ดวัน....
ก่อนจะกลับมาให้กำลังใจกุ้งฝอยเหล่านี้ ในวันแรกของงาน

แล้วลุงหมีจะรีบมา.......นะ
จะหอบกำลังใจมาให้....ล้นลัง....

ความน่ารักสมวัยของกุ้งฝอยเหล่านี้ จะเปนเสน่ห์ตรึงหัวใจทุกๆคนเหมือนผม...เชื่อผมมั้ย????

โปรดติดตามตอนต่อไป....

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ

Drunken_Writer
07-07-14, 11:54 AM
คันปาก อยากเล่า#9 ตอน....

กว่า "ลูกกุ้งฝอย" .... จะโตเปน "กุ้งมังกร" #9

ตอนที่ เก้า..... ปัจฉิมบท

"ความสำเร็จ" ที่ยั่งยืน.... ไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาฟ้าลิขิต หากแต่...เกิดจากการกระทำ...ที่หมั่นเพียรและมุ่งมั่นในการ "ทำความดี"

ในวันที่นัดเด็กๆมาพรีเซนต์ให้ฟังตอนเย็นนั้น ทำให้ผมลืมความกังวลใจ ที่เคยมี มาตั้งแต่ช่วงแรกของการอบรม
เหลือเพียงอย่างเดียวที่ยังกังวลอยู่ก็คือ....เด็กๆจะตื่นเวทีมั้ย ถ้าได้ขึ้นไปพรีเซนต์ โชว์บนเวทีใหญ่ในงาน
ผมปรึกษากับอาจารย์ จาก มรภ.เลย เพื่อหาโอกาสให้เด็กๆ ได้บรรยายให้กับคนแปลกหน้าได้ฟังบ้าง แต่...ปัจจัยหลายอย่างไม่อำนวยให้ทำแบบนั้นได้

ตลอดระยะเวลา 7 วัน ที่ผมต้องลงมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนวันงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขนจะเริ่มขึ้น
ความคิดในหัวมันแล่นอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี
จนถึงวันสุดท้ายของการทำงาน ที่ทุกอย่างก็ดูวุ่นวายไปหมด เมื่องานในส่วนรับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว ผมก็ดิ่งมายัง สถานีขนส่งทันที เพื่อเดินทางมุ่งหน้า อ.ด่านซ้าย ในค่ำคืนก่อนวันงานวันแรก เพื่อไปให้ทันก่อนที่เด็กๆจะได้สำแดงฝีมือ

รถบัสปรับอากาศค่อยพาผู้โดยสารที่นั่งมาเต็มคันรถมุ่งหน้าออกจากกรุงเทพ ปลายทาง อ.ภูเรือ จ.เลย แบบเรื่อยๆไม่รีบไม่ร้อนอันใด กว่าจะมาถึงอ.ด่านซ้าย ก็ล่วงมาถึงเวลา ตีห้าแล้ว...ทำให้ผมพลาดพิธีเบิกพระอุปคุต ซึ่งทำกันตั้งแต่ตีสาม ในแม่น้ำหมัน เมื่อเสร็จแล้วก็จะแห่พามาทำพิธีต่อที่ลานหญ้าวันโพนชัย ซึ่งระหว่างทำพิธีนี้ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ทำให้ผมต้องติดแหงก....รออยู่ตรงประตูวัดนั่นเอง....

จนกระทั่งพิธีล่วงไป....พอประตูเปิดผมก็เข้าไปเก็บภาพบรรยากาศได้นิดหน่อย หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาศได้พูดคุยกับ"ยายจำปี" ผู้เปนส่วนหนึ่งของญาติเชื้อสายของ ตระกูล เชื้อบุญมี ที่สืบทอดตำแหน่ง "เจ้าพ่อกวน" ผู้นำทางจิตวิญญาณ ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆใยทุกเทศกาลงานประเพณีของด่านซ้าย

ยายจำปีเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ฟ้อนให้ดู ร้องเพลงพื้นบ้านให้ฟังแบบไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย ตั้งแต่เช้า พอช่วงสายก็ไปร่วมพิธีสู่ขวัญที่บ้านเจ้าพ่อกวน เสร็จแล้วก็ยังฟ้อนนำขบวนผีตาโขนจากบ้านเจ้าพ่อกวนมาวัดโพนชัย
ด้วยอายุเกินเจ็ดสิบกลางๆของคุณยาย ทำให้ผม ทึ่งในสุขภาพร่างกายของคุณยาย และสุขภาพใจที่ทำให้คุณยายเฮฮาสนุกสนานได้ตลอดเวลาแบบนี้

คุณยายเลยสอนว่า ...
ให้ กินปลาเปนหลัก กินผักเปนอาหาร แล้วร่างกายก็จะแข็งแรง พอร่างกายแข็งแรง ใจก็จะสุขตามมาเอง

ผมมารอเด็กๆอยู่ในวัดตั้งแต่ราวแปดโมงครึ่ง เด็กๆลูกกุ้งฝอยของผมก็ทยอยกันมา วันนี้ ผมตั้งใจมาเลี้ยงขนมเด็กๆ เลยเลี้ยงไอติมกันคนละแท่งโลด!!!!!

พอเวทีใหญ่ในวัดโพนชัยเริ่มกิจกรรม อาจารย์ มรภ.เลยกับผมก็ปรึกษากันว่า ไม่ลองไม่รู้หรอกว่าเด็กๆจะตื่นเวทีหรือไม่ อาจารย์จึงไปเจรจากับเจ้าหน้าที่คุมคิวเวที เพื่อขอให้ลูกกุ้งฝอยตัวจี๊ดได้ขึ้นไปแสดงความสามารถบนเวที .....
ในที่สุด ทางเจ้าหน้าที่ก็ให้คิวกุ้งฝอย แทรกไปโชว์ได้หนึ่งรอบ ผมจึงพากุ้งฝอยตัวจี๊ด ทั้งสาม ไปทำสมาธิและทบทวนบทบรรยายอยู่ข้างเวที แต่ยังไม่ทันจะทบทวนได้จบ พิธีกรบนเวทีก็เรียกขึ้นเวทีซะแร้ว

เมื่อ...กุ้งฝอยทั้งสาม ขึ้นไปอยู่บนเวที ดูมีทีท่ามั่นใจในตัวเองมาก ทั้งสามคนยืนในตำแหน่งและระยะห่างตามที่เคยฝึกกันมาเป๊ะ.....

ผมไปยืนให้กำลังใจอยู่หน้าเวที ทั้งสามคนส่งยิ้มมา แล้วพยักหน้าให้ เหมือนจะบอกว่า "พวกหนูพร้อมแล้ว ไม่ต้องห่วง พวกหนูจะทำให้ดีที่สุดเต็มความสามารถ"
พอทั้งสามคนเริ่มบรรยายตามบท ที่ซักซ้อมกันมา
ผมรู้สึกได้ว่า ทั้งสามคนทำได้ดีกว่าทุกๆครั้งที่ผ่านมา มีความเปนธรรมชาติและสง่า แม้นจะมีปัญหาไมค์ติดๆดับๆจนทำให้สะดุดอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทั้งสามคนก็สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปได้เปนอย่างดีและเนียนมาก

ผมยืนอยู่หน้าเวที มือถือกล้องถ่ายรูป หูฟังบรรยาย สายตามองผ่านวิวไฟน์เดอร์ของกล้อง.... ก้อนสะอื้นมันมาจุกที่คอหอย น้ำตาในรื้นๆอยู่ที่ขอบตา ด้วยความปลาบปลื้ม อิ่มเอมหัวใจ ที่เห็นเด็กๆ เหล่านี้ ทำได้.....ทำได้ดีเสียด้วย...

"กุ้งฝอย" ของผมได้เจริญเติบโตเปน "กุ้งมังกร" เต็มตัวแล้ว ในวินาทีนั้น!!!

ทันทีที่เสียงขอบคุณของทั้งสามจบลง...เสียงปรบมือจากผู้ชมในลานจอดรถของวัดโพนชัย ก็ดังขึ้นมาเปนกำลังใจให้สามกุ้งมังกรและเสียงชมเชยจากพิธีกรก็ออกไมค์มา ทำให้ทั้งกุ้งมังกรทั้งสามคน...รวมถึงผมด้วย หัวใจพองโต......

ส่วนกุ้งฝอยที่เหลือ...ก็ได้เติบโตมาเปนกุ้งมังกรในช่วงสายๆ ที่ได้บรรยายและพานำชมในพิพิธภัณธ์ผีตาโขน ให้นักท่องเที่ยว ที่มาเยือนจริงๆ แบบไม่หวั่นเกรงอะไรเลย นอกจากนั้น ยังมีความตั้งใจ ที่จะบรรยายข้อมูลแบบไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อยอีกด้วย

หัวใจในขณะนั้น มันพองโต...มี แต่ความสุขเข้ามาเกาะกุมหัวใจ

ภารกิจ ปั้น "ลูกกุ้งฝอย" ให้เปน "กุ้งมังกร" สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว....

แม้งานจะมีสามวัน แต่ผมอยู่ร่วมงานได้เพียงแค่วันเดียว
เนื่องจากติดภารกิจ พา นศ จาก มรภ.อุตรดิตถ์ ไปทัศนศึกษา...จ.สุโขทัยต่อในวันรุ่งขึ้น
แม้ใจจะอยากอยู่ให้กำลังใจฝูงกุ้งมังกรต่อ ก็มิอาจอยู่ได้...น่าเสียดาย น่าเสียดาย

บ่ายแก่ๆ เด็กก็ทยอยกันกลับบ้าน หลังจากที่ได้นัดหมายสถานที่และเวลาที่จะมาพบกันในวันรุ่งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

ตัวผมเอง นั่งรอ อาจารย์จาก มรภ.อุตรดิตถ์ ขับรถมารับ อยู่ที่หน้าพิพิธภัณฑ์

ภาพความทรงจำตั้งแต่วินาทีแรก ที่ได้มาเปนส่วนหนึ่งของงานอบรมครั้งนี้ จนกระทั่งได้มาเห็นความสำเร็จของเด็กๆในวันนี้ ค่อยๆวิ่งมาในห้วงแห่งความคิด ก่อกำเนิดเปน คันปากอยากเล่า ตอน
กว่าลูกกุ้งฝอย จะโตเปนกุ้งมังกร ที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้

แม้สิ่งที่ได้เห็นได้สัมผัสจะยังไม่ใช่ดีที่สุด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กไทย ที่อยู่ในจังหวัดหัวเมืองว่า.......ช้างเผือก อยู่ในป่า ถ้าอยากเจอ...ต้องค้นหาให้เจอ.....

เมื่อรถที่มารับ เดินทางมาถึงที่วัดโพนชัย.....ผมก็ออกเดินทางมุ่งหน้า จ.อุตรดิตถ์ทันที...... ทิ้งบรรยากาศความสุข ความสนุกสนาน ของงานประเพณีบุญหลวงและการละเล่นผีตาโขน ของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย ไว้เบื้องหลัง.......

ภารกิจเบื้องหน้ายังรออยู่ จำเปนต้องจากลา แต่สัญญานะ ว่าจะกลับมาหา จะกลับมาพัฒนาศักยภาพของกุ้งมังกรทุกคน ให้เก่งยิ่งๆขึ้นไปให้ได้ เพราะทุกคนได้พิสูจน์ให้ลุงหมีเห็นแล้วว่า.............. ทุกคนทำได้!!!!

¤¤¤¤¤ไม่มีอะไรที่คนทำไม่ได้ ยกเว้นไม่คิดที่จะทำ¤¤¤¤¤

ขอบคุณ กุ้งฝอยทุกคนที่ตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

ขอบคุณ
คณาจารย์และทีมนศ. จาก มรภ.เลยที่ให้ความไว้วางใจและดูแลกันเปนอย่างดี รู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน

ขอบคุณ
โลกและกาลเวลา ที่เหวี่ยงพวกเรา...มาพบกันและร่วมงานกัน

จบแล้วครับ

ขอบคุณที่ติดตามอ่าน

แย้ปปี้ อาลักษณ์ไร้หัวใจ