เข้าระบบ

View Full Version : แย้ปปี้--อาลักษณ์ขี้เมา -- นิยายไร้สาระ ห้วงรัก..แห่ง..นาคา ตอนที่ 1..คิดถึง



Drunken_Writer
03-11-11, 12:55 PM
แย้ปปี้...อาลักษณ์ขี้เมา ขอเสนอ นิยายไร้สาระ
ห้วงรัก..แห่ง..นาคา
ตอนที่ 1..คิดถึง

นาคาครองแห่งนี้ ...บาดาล นคร
คงอยู่ประกอบการ....แบ่งน้ำ
วรุณย่อมประสาน.....จากที่ ฟากฟ้า
แรงแห่งนาคาค้ำ......ช่วยเลี้ยง คนยัง

ณ นครบาดาล
“กุรุวาสก” นาคหนุ่ม ทายาทของท้าววาสุกรี ผู้ครองนครบาล นั่งเอาคางเกยหน้าต่าง สายตาจ้องมองออกไปยังห้วงมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ด้วยอารมณ์อันเบื่อหน่าย เพราะ วาสุกรี พระบิดา สั่งกักบริเวณมากว่าสามเดือน..มิยอมให้ตนได้ออกไปสำรวจห้วงมหรรณพ อย่างที่เคย เนื่องจากคราวที่แล้วแอบหนีออกไป แล้วเกือบถูกเหล่ามนุษย์นั้นจับตัวได้...เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นถึงถิ่นที่อยู่ ว่าพวกมันอยู่กันยังไง

“เฮ้วววว!!!! เบื่อๆๆๆ เดี๋ยวหนีไปหาท่านอา “มุจลินทร์” ดีกว่า แต่จะออกไปยังไงดีว้า เสด็จพ่อรู้แกวซะแร้วด้วย คิดๆๆสิว้อยย กุรุวาสก...อย่าเพิ่งโง่ตอนนี้เลย” กุรุวาสก ร้องขึ้นมาอย่างเซ็งๆ

“อย่าเลยพระเจ้าข้า” “ใช่แล้ว อย่าเลยพระเจ้าค่ะ” เสียงทัดทานมาจาก “วรุณและพิรุณ” สองมหาดเล็กตนสนิท ที่คอยติดสอยห้อยตามไปทุกที่ทุกเวลา คอยดูแลปรนนิบัติพัดวีมีตั้งแต่กำเนิด เป็นทั้งพี่เลี้ยงและครูผู้สอนสั่ง ศิลปวิทยาการต่างๆอันชาวนาคควรรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาจำแลงร่างจาก”ร่างแห่งนาคนาคา” เป็นร่างของมนุษย์ ”นาคมานพ” ที่สามารถขึ้นบกไปอยู่ปะปนกับเหล่ามนุษย์ได้(คราวที่แล้วก็เกือบโดนจับได้ไปแร้ว) วิชาเรียกลมฝน วิชาคายพิษ วิชาสะกดจิต สะเดาะกลอน(เรียนไปทามมายเนี่ย)

“พวกเจ้าอย่าห้ามข้าเลย อยู่เฉยๆ จนตะไคร่น้ำจับตัวจนเขียวไปหมดแล้วเนี่ย...จะไปด้วยรึเหล่า ว่ามา.....!!!” กุรุวาสก หันมาเจรจากับมือซ้ายมือขวาคนสนิท

“โถๆๆ พระโอรส จะยังไงก็ยังงั้นแหล่ะพระเจ้าข้า.....ไปไหนก็ไปกันแหล่ะ แต่...จะออกไปยังไง โน่นหน้าประตูห้องสี่ หน้ารั้วอีกสิบ รอบๆตำหนักอีกกองร้อย...แล้วเราสามตน จะเล็ดออกไปยังกันล่าววววว พระเจ้าข้า” วรุณหันมาตอบทันควัน

“น่านนนนอ่ะซี้....จะไปยังงายกัน หรือพระโอรสมีแผนดีๆ มานำเหนอ ได้โปรด บอกกล่าวพวกข้าน้อยได้เลย พระเจ้าค่า” พิรุณรีบเสริมวรุณทันที เพราะตนเองก็เบื่อแทบแย่ เหมือนกัน

“แหมๆๆ ดิ้นรนจะออกนอกนคร ไปบนโลกมนุษย์เนี่ย แอบคิดถึงใครอ๊ะป่าว.......แน๊ะๆๆ ไม่ต้องมาทำหน้าแดงหน้าเขียวหน้าเหลือง” พิรุณล้อเลียนเจ้านายด้วยความสนิทสนม

“ผลั่ก!!!” “โอ้ย” แอ่ก!!” เสียงเท้าของ กุรุวาสก แตะไปบนกลางหลังของพิรุณเบาๆอย่างเต็มกำลัง ทำให้พิรุณกระเด็นไปกระแทกตัววรุณจนล้มกลิ้งโคโล่ไปทั้งคู่

“ข้าน้อยไม่เกี่ยวนะ พระเจ้าข้า...อูยยย ไอ้หอยนี่ก็ แซวไม่รู้เวร่ำเวลา ก็รุ้อยู่ว่าพระโอรส คิดถึง “มะปราง” ใจจะหลุดแล้ว...”

“เฮ้ย!!” กรุรุวาสก เงื้อเท้าอีกข้างเตรียมจะประเคนให้วรุณสักผลั่ก...แต่ไม่ทัน วรุณ วิ่งหนีไปหน้าประตู พร้อมทำหน้าล้อเลียนอย่างรู้ความในใจของกุรุวาสกเป็นอย่างดี.....

“เฮ้อ!! พวกแกไม่น่าเอ่ยถึงนางเลย....ทำให้ข้าคิดถึง..นางขึ้นมาจับใจ” โอรสของวาสุกรีจึงหันหน้าออกนอกหน้าต่างอีกครั้ง ภาพของสาวอันเป็นที่รักปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึงอย่างชัดเจน

ย้อนหลังกลับไปเมื่อหกเดือนที่แล้ว....ณ ลุ่มน้ำนครชัยศรี มณทลนครชัยศรี สยามประเทศ

หัวสะพานไม้ วัดใหม่....
ล่วงรุ่งอรุณ ยามแสงอาทิตย์เริ่มร้อนแรง กุรุวาสก ว่ายน้ำเพลินมาจากนครบาลดาลจนเข้ามายังแม่น้ำนครชัยศรี ซึ่งตนเองนั้นมิเคยได้ย่างเข้ามาก่อน วรุณกับพิรุณ โดนเขาหลอกเข้าคลองโน้น ออกลำประโดงนี้ ไปๆมาๆ ตามความคดลดเลี้ยว ของคุ้งน้ำต่างจนหลงไปคนละทิศละทาง

“เฮ้อ!! กว่าจะสลัดหลุด ตามเก่งชิบเป๋ง เป็นสาวๆมาตามแบบนี้จะไม่ว่าเลย แต่คงไม่นาน ไอ้สองตัวนั่นคงตามมาเจอ ไม่รู้ว่ามันเรียนแกะรอยมาจากไหน หนีไม่เคยพ้นเลย.....ขึ้นไปไหว้พระที่วัดข้างหน้านี่ดีกว่า” กุรุวาสกบ่นเบาๆ แล้วเลื้อยขึ้นมายังท่าน้ำของวัด....

.....ทันทีที่ร่างของนาคหนุ่มพ้นผิวน้ำขึ้นมา....ร่างนาคก็เกิดแสงเรืองพร้อมกับรูปร่างของนาคหนุ่มกลับกลายเป็นมานพน้อยรูปงาม ในอาภรณ์อันเรียบง่ายงดงาม ตามมนต์คาถาที่ได้ร่ายกำกับก่อนขึ้นจากน้ำ หากมิสังเกตคงไม่รู้ว่า เป็นนาคมานพหรือมนุษย์ หากแต่...หากมีใครสังเกตก็จะรู้ได้ด้วยอาภรณ์ทิพย์เหล่านี้ มิมีน้ำเกาะเลย แม้นสักหยดเดียว

กุรุวาสก เข้าไปในอุโบสถหลังไม่ใหญ่นัก....เขาก้มลงกราบพระประธานทองสำริดปางสมาธิ ในบรรยากาศอึมครึม แสงสลัวๆภายในอุโบสถทำให้เกิดความขลัง เมื่อเงยหน้ามองที่พระประธาน บารมีแห่งพุทธคุณทำให้กุรุวาสก รู้สึกว่าเหมือนกับว่า พระพุทธรูปองค์นี้ ดุจมีชีวิตจริงๆ

“เจ้าเป็นใคร” เสียงถามเสียงดังมาจากองค์พระประธาน ทำเอา กุรุวาสก สะดุ้งด้วยความตกใจ
“ตอนเข้ามาไม่เห็นมีใครนี่หว่า เสียงใครว้า” กุรุวาสกรำพึง....

ผ้าสีเหลืองไพล...ต้องลมค่อยๆแย้มสะบัดออกมาจากด้านหลังพระประธาน พระสงค์สูงอายุแววตาเมตตา รอยยิ้มอันเปี่ยมความสุขค่อยๆเดินออกมาอย่างช้าๆ...ตรงมาหา นาคมานพน้อย
“เจ้าเป็นใคร มาจากไหน....มากับใคร.....มากี่คน.....คนพระนครรึเจ้า...มาถึงที่นี่เจียวรึ ปกติที่นี่มิใคร่มีใครเข้ามาทำบุญสักเท่าใดดอก” หลวงตา ถามซ้าไม่มีรอยต่อให้ตอบ
“เอ่อ......หลวงตา....ขอทีละคำถามได้ไหมเจ้าคะ โยมตอบไม่ทัน” กุรุวาสก รีบพูดขัดซะก่อนที่หลวงตา
“เออ หลวงพ่อลืม ตืนเต้น นานๆมีคนเข้ามากราบพระที่นี่สักครา ฮ่าอ่าอ่า” หลวงตาหัวเราะอย่างไม่ขัดเขิน

“โยมชื่อ กุรุวาสก เป็นคนบ้านไกล วันนี้มาเที่ยวเล่นไกลบ้าน รู้สึกเหนื่อยเลยจะมาขออาศัยใบบุญของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับหลวงตา ได้พักให้คลายหายเหนื่อย อีกทั้งยังคงต้องรั้งรอ เพื่อนคู่หูอีกสองหน่อที่ไม่รู้ว่าหลงไปทางไหน แต่เดี๋ยวคงแกะรอยตามโยมมาถึงที่นี่ได้ เจ้าค่ะ” กุรุวสกชี้แจง
“ตามสบายเลยโยม ขาดเหลืออะไรก็ไปหาหลวงตาที่กุฏินะ ที่นี่หลวงตาอยู่คนเดียว ที่พักที่นอนเยอะแยะ อาหารการกินก็พอมี เมื่อเช้า หลวงตาออกบิณฑบาตมา คงฉันคนเดียวหาหมดไม่...เดี๋ยวหลวงตากลับไปนั่งสมาธิก่อนนะ เดี๋ยวเพลก็ไปที่กุฏินะ” หลวงตามบอกลาเพื่อกลับไปปฏิบัติธรรม
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ โยมขอทำบุญก่อน” กุรุวาสก ถอดแหวนทองคำประดับทับทิมจากนิ้ว...ถวายใส่มือให้หลวงตาทันที หลวงตาจึงสวดให้พรแล้วกลับกุฎิ

”ฮั่นแน่ มาอยู่นี่เอง พระโอรส กลับวังเถอะ ป่านนี้ ท้าววาสุกรี คงตามหาให้วุ่นแล้วล่ะ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย”วรุณ รีบตะโกนมาจากท่าน้ำ เมื่อเห็น กุรุวาสก เดินออกมาจากอุโบสถ

“เอ้ย!! ไอ้บ้า เบาๆ ใครใช้ ให้ พวกแก ตะโกนโหวกเหวกขนาดนี้ เดี่ยวพวกแกแหล่ะ จะโดนไม่ใช่น้อย” กุรุวาสก ดุ ลูกน้องด้วยกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินสิ่งที่หลุดออกมาจากปากของวรุณ

แล้วกุรุวาสกก็เดินไปที่ท่าน้ำเพื่อกลับสู่นครบาลดาล ก่อนลงไปในน้ำ กุรุวาสก หันไปมองบ้านไม้หลังย่อม ข้างๆวัด สายตาของขเสะดุดกับ ดรุณน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่ท่าน้ำของบ้าน กุรุวาสก เหมือนถูกสาปให้แน่นิ่งไปด้วยตราตรึงกับความงามของแม่นางน้อยนางนี้

อนงค์นาง ข้างริมฝั่ง วารีชื่น
พักตร์ระรื่น นัยน์เนตรใส โอษฐ์แย้มสรวล
ร่างระหง องค์สง่า ผะผิวนวล
จริตล้วน เทพาปั้น แต่งลงทรง

ผ้าสไบ ใยยอง ประคองอยู่
ปทุมคู่ ชูชัน น่าไหลหลง
สไบโบก แนบสนิท ชิดเอวองค์
หลับตาลง เมื่อใด ใยเห็นนาง

ผ้านุ่งดิ้น เส้นทอง ยองระยับ
เยียรบับ ทับหน้า ย้อมน้ำฝาง
ลาดสะโพก ยกหยุ่น รุนลายราง
เท้าเปลือยว่าง นิ้วเพรียว เรียวลำเที่ยน

เกศายาว งามขำ สวยดำขลับ
วาวระยับ ตรงสลวย ดั่งถ่านเขียน
กรเรียวงาม ผิวนวลผ่อง เทพจำเนียร
เอวเจ้าเคียน เข็มขัดงาม สามกษัตริย์

เจ้าเป็นใคร มาจากไหน ใครพอรู้
ใยเจ้าอยู่ ริมนที เงียบสงัด
ความงามเจ้า หามีใคร มาเทียมทัด
วัยกำดัด ควรเมือง เรืองมั่นคง

ฤานางฟ้า ลงมา ปรากฏกาย
เป็นนางไม้ ให้เรียม นั้นไหลหลง
เฝ้าพร่ำเพ้อ ละเมอถึง มิอาจปลง
ขอเจ้าจง สถิตย์ใน หัวใจเรียม

“มะปราง อยู่ไหนลูก...มาช่วยแม่ทำกับข้าวแร้ว” เสียงหญิงสูงอายุเรียก
“จ้า...แม่ ไปเดี๋ยวนี้แหล่ะจ้า” หญิงสาวรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน

“นางชื่อ.....”มะปราง”” กุรุวาสก รำพึงเบาๆ
“เอ้าๆๆๆๆ ตะลึงๆๆๆ ไปได้แล้วพระเจ้าค่า” พิรุณรีบกระตุ้นให้ พระโอรสรีบกลับวังก่อนที่จะโดนโทษกันหมดทั้งก๊วน
กุรุวาสก ยังคงมองบ้านของนางผู้ตราตรึงในใจ จนกระทั่งร่าง....จมหายไปในสายน้ำนครชัยศรี..................

ณ กุฏิหลวงตา...หลวงตาคลี่จีวรออก หลังจากนั่งสมาธิ...พลางล้วงลงไปในย่ามเพื่อจะนำแหวนที่เจ้าหนุ่มบ้านไกลถวายให้เป็นพุทธบูชา เพื่อนำไปไว้บนหิ้งพระ...”เอ๊ะ!! แหวนหายไปไหน?? แล้วนี่ก้อนอะไร???” หลวงตาหยิบก้อนๆขึ้นมาเมื่อกำลังจะพ้นย่าม...แสงเรืองรองส่องสว่างมาจากรัตนชาติก้อนกลมขนาดเท่าไข่นกกระทา วาบแล้ววูบดับไป
“นาคารัตน!!!” หลวงตาร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของ รัตนชาติ ชนิดนี้ มีมากมายยิ่งนัก หลวงตาจึงนำผอบมาใส่แล้วนำไปไว้บนหิ้งอย่างที่ตั้งใจ หยิบไม้ตะพดคู่กายแล้วรีบเดินไปพระอุโบสถ แต่ไม่พบใครเสียแล้ว....จึงเดินไปนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ.....”เจ้าหนุ่มน้อยคนนั้น...เป็นใครกันแน่??”หลวงตาครุ่นคิดอยู่ในใจ

ณ ห้องพักอันโอโถง...ยามย่ำค่ำ
กุรุวาสก ยังคงครุ่นคิด หาวิธี หนีพระบิดา ออกไปนอกวังเสียให้จงได้ ในค่ำคืนนี้ มิเช่นนั้น อกคงแตกตายแน่.......เอาวะ เป้นไง เป้นกัน
“วรุณ..พิรุณ มานี่เร็ว” กรุวาสก...กระซิบกระซาบแผนการณืหนีพระบิดาให้ทั้งสองฟัง ระวังไม่ให้ยามเฝ้าหน้าห้องได้ยินเลยแม้แต่ คำเดียว


ค่ำคืนนี้ พี่จะไปหาเจ้า....”มะปราง”




“อารมณ์เฉา ดวงตาแฉะ ฟิลลิ่งเฉื่อย
นั่งเรื่อยเรื่อย นอนเล่นเล่น ยืนไม่ไหว
สมองฝ่อ ได้แต่ฝืน ทนต่อไป
เพียงเพื่อให้ เธอได้สุข เท่านั้นเอง

มือไม่เขียน ขาไม่เคลื่อน เตือนให้รู้
ตาไม่ดู ใจสั่นสั่น มันโหวงเหวง
หมดกันแล้ว ภาพพจน์ ใจนักเลง
อารมเซ็ง เย้าเยาะ เกาะกินใจ

หายใจเข้า แล้วก็ หายใจออก
แล้วก็บอก ตัวเองให้ หายสงสัย
อาการนี้ มิใช่กาย เป็นไข้ใจ
ไปกันใหญ่ เพราะคิดถึง "เธอ" นั่นเอง ”

โปรดติดตามตอนที่ 2 ต่อไป....เร็วๆนี้ เมื่อมีอารมณ์เขียน